นายไนยวน ชิ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ 750 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 618.22 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้นราว 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 0.285 บาทต่อเยน มาอยู่ที่ 0.32 บาทต่อเยน ทำให้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 35% ซึ่งใกล้เคียงปีก่อน แม้บริษัทจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่บริษัทก็ยังต้องมีการสั่งซื้อเหล็กจากโรงงานในประเทศญี่ปุ่นเพื่อเป็นวัตถุดิบในการขึ้นชิ้นงานโครงสร้างเหล็ก ทำให้ก็มีต้นทุนที่เป็นค่าเงินเยนในการนำเข้าสินค้า
ในส่วนของรายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน 3.65 พันล้านบาท ตามปริมาณการขายโครงสร้างเหล็กในปีนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 49,000-50,000 ตัน จากปีก่อนที่ 48,000 ตัน โดยในไตรมาส 1/59 บริษัทมีปริมาณขาย 11,000 ตัน ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 12,000 ตันหรือเฉลี่ยนเดือนละ 4,000 ตัน เนื่องจากลูกค้าบางรายมีการเลื่อนก่อสร้างออกไปเป็นช่วงไตรมาส 2/59 ทำให้ปริมาณขายน้อยกว่าเป้าหมายเล็กน้อย อย่างไรก็ตามบริษัทฯมั่นใจว่าปริมาณขายในไตรมาส 2 มีโอกาสเป็นไปตามเป้าหมายที่ 12,000 ตันอย่างแน่นอน
ด้านมูลค่างานในมือ (Backlog) ในปัจจุบันมีมูลค่า 200,000 ตัน โดยจะมีการส่งมอบภายในระยะเวลา 4 ปี (59-62) เฉลี่ยการส่งมอบปีละ 5 หมื่นตัน โดยงานดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการที่เกี่ยวข้องกับงานกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นในปี 63 เช่น งานโครงสร้างโรงแรม โครงสร้างสนามกีฬา เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้ายื่นเสนอราคาขายโครงเหล็กให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องโดยปัจจุบันมีลูกค้าสั่งซื้อล่วงหน้าไปใช้ในปี 60 แล้ว ปริมาณออเดอร์ล่วงหน้าที่เข้ามาอยู่ที่ 100,000 ตัน สำหรรับกำลังการผลิตในปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตทั้งหมด 70,000 ตันต่อปี
สำหรับการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่นๆ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเข้าไปขายโครงสร้างเหล็กในประเทศสหรัฐอเมริกาเนื่องจากบริษัทมองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯมีทิศทางการเติบโตที่ดีทำให้มีการลงทุนต่างๆเกิดขึ้น รวมไปถึงราคาขายโครงสร้างเหล็กในสหรัฐฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีลูกค้าในสหรัฐฯเข้ามาเจรจากับบริษัทเพื่อแสดงความสนใจสั่งซื้อโครงสร้างเหล็กของบริษัท ซึ่งคาดว่าอาจจะได้ข้อสรุปในเรื่องกล่าวภายในปีนี้
ด้านการลงทุนในปี 59 บริษัทจะมีการเข้าไปซื้อสินทรัพย์คืออาคารโรงงาน และที่ดินของพันธมิตรคือ NASU ที่ปัจจุบันมีบริษัทร่วมทุนคือ M.C.S. NASU โดยจะทำการซื้ออาคารโรงงานและที่ดิน มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 600 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 2/59 นี้ โดยวัตถุประสงค์ของการเข้าซื้อเพื่อลดต้นทุนค่าเช่าที่มีภาระจ่ายให้กับพันธมิตรเดือนละ 6 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทถือหุ้นมากกว่าพันธมิตร และภายหลังจากการเข้าซื้อบริษัทจะไม่มีภาระค่าเช่าอีกต่อไป
ทั้งนี้ M.C.S. NASU มีโครงสร้างการถือหุ้นคือ MCS ถือหุ้น 66 % และ NASU ถือหุ้น 33 % มีกำลังการผลิตโครงสร้างเหล็ก 18,000 ตันต่อปี
ส่วนแผนการซื้อหุ้นคืนนั้น ปัจจุบันบริษัทได้หยุดการซื้อหุ้นคืนหลังราคาซื้อขายหุ้น MCS ในตลาดเฉลี่ยที่ 11 บาท/หุ้น ซึ่งสูงกว่าราคารับซื้อที่ตั้งไว้เฉลี่ย 10 บาท/หุ้นทำให้บริษัทตัดสินใจหยุดการซื้อหุ้นคืนก่อนครบกำหนดในวันที่ 11 เม.ย.นี้ โดยบริษัทได้ซื้อหุ้นคืนไปแล้ว จำนวน 25 ล้านหุ้นคิดเป็นมูลค่า 275 ล้านบาท จากการอนุมัติของคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้มีการซื้อหุ้นคืนทั้งหมด 50 ล้านหุ้นหรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยมีกำหนดให้ซื้อหุ้นคืนได้ในช่วงวันที่ 12 ต.ค.58 - 11 เม.ย. 59