บมจ.เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ (ASN) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 30 ล้านหุ้นภายในไตรมาส 2/59 หรือคิดเป็น 23.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย IPO โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้พัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบอี-คอมเมิร์ซ (E-Commerce) ใช้ลงทุนในการขยายจำนวน Seat ของพนักงานอีกจำนวน 100 seat และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ปัจจุบัน ASN มีทุนจดทะเบียนจำนวน 65 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้วทั้งหมด 50 ล้านบาท มีจำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตมีบริษัทประกันคู่ค้าชั้นนำกว่า 16 แห่ง โดยรายได้หลักกว่า 75% มาจากนายหน้าประกันวินาศภัย บริษัทขายประกันรถยนต์ผ่านพนักงานขายทางทางโทรศัพท์เป็นหลัก ประกอบด้วยประกันรถยนต์ทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ นอกจากนี้บริษัทยังดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันชีวิต ซึ่งดำเนินงานผ่านบริษัท เอเอสเอ็น ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท
สำหรับผลการดำเนินงานมีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 58 รายได้รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีทั้งสิ้น 161 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 25 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เท่ากับ 35.9% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เท่ากับ 15.30% ในขณะที่มี ROA และ ROE ในปี 58 เท่ากับ 27.89% และ 56.59% ตามลำดับ ส่วนสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวม 106 ล้านบาท และ 43 ล้านบาทตามลำดับ โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ที่ 0.68 เท่า
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 3 แห่งได้แก่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.ทรีนีตี้ จำกัด และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ซึ่งเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ ASN ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 8.20 บาท/หุ้น และให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 8.40 บาท/หุ้น สะท้อนแนวโน้มเติบโตโดดเด่นจาก 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาระบบ E-Commerce ที่จะเป็นการต่อยอดการพัฒนา Platform ในการขายประกันออนไลน์อย่างครบวงจรในไตรมาส 3/59 และ 2.โครงการขยาย Seat พนักงานขายทางโทรศัพท์ อีก 100 Seat ซึ่งจะทำให้รายได้จากช่องทางการขายเดิมของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจะเริ่มในไตรมาส 2/59
นักวิเคราะห์มองว่าจากแผนการลงทุนทั้ง 2 โครงการจะทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 59 และเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นอกจากนี้บริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองตามกฎหมาย
บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ พบว่า ASN เป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างโดดเด่น สอดรับการการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิตอล ที่หันมาซื้อสินค้าและบริการผ่านอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนมากยิ่งขึ้น โดยข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ธุรกิจ E-Commerce มีมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 59 มูลค่าตลาด E-Commerce - B2C จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 230,000-240,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวประมาณ 15-20% จากปี 58
รวมถึงกระแสฟินเทค (Financial Technology) ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ โดยในส่วนของพฤติกรรมการทำประกันจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ซึ่งจากผลสำรวจผู้บริโภคทั่วโลกของบริษัท Bain & Company คาดว่าผู้บริโภคจะมีการทำธุรกรรมด้านประกันผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นจากประมาณ 35-70% ในแต่ละประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 79% นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญคือการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมประกันภัยและประชีวิตในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล โดยมีค่าเบี้ยประกันรถยนต์และ ประกันชีวิตรวมกว่า 6 แสนล้านบาท
บทวิเคราะห์ของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 8.30 บาท โดยมองว่าปี 59-60 ผลประกอบการโตอย่างมากจากแผนการลงทุนในระบบ E-Commence ที่จะให้บริการขายประกันทางออนไลน์แบบ One Stop Service ให้แก่ลูกค้าได้จะส่งผลให้ ASN สามารถชิง Market share จากเบี้ยประกันในตลาดที่มีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท รวมถึงการเพิ่มขึ้นของ Seat ของพนักงานขายทางโทรศัพท์ และด้วยประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ในธุรกิจโปรกเกอร์ประกัน หนุน ASN มีโอกาสเติบโตออย่างก้าวโดดในปี 59
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้เป้าหมาย 8.40 บาท โดยมีมุมมองต่อธุรกิจเติบโตเท่าตัว 2 ปีติดต่อกันจาก E-Commence จะพลิกโฉมธุรกิจของบริษัทสู่ Digital Broker ที่จะคว้า Market Share จากตลาดที่มีมูลค่าค่าเบี้ยประกันกว่า 6 แสนล้านบาท พร้อมกับการขยายทีมพนักงานขาย และการจัดกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ให้ตรงตามความต้องการของบริษัทประกันคู่ค้า ซึ่งส่งผลให้ได้ส่วนแบ่งค่านายหน้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ส่วนบทวิเคราะห์ของ บล.ทรีนิตี้ ให้เป้าหมายราคาหุ้น ASN ที่ 7.9 บาท โดยคาดว่าจะมีการเติบโตแรงในปี 59-60 จากการขยายธุรกิจเดิมและ E-commerce จากการมีที่บริษัทมุ่งพัฒนา E-commerce สู่การเป็น FinTech Digital Insurance มองว่ตลาดเบี้ยประกันโดยรวมยังมีแนวโน้มขยาตัวต่อเนื่องมีตลาดมากกว่า 6 แสนล้านบาท โดยคาดว่ารายได้จากการขยายประกันภัยรถยนตร์และ E-Commerce จะเป็นแรงหนุนสำคัญ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอนาคต