บลจ.กสิกรไทย ส่งกองหุ้นอ้างอิงดัชนีตลาดยุโรป-ญี่ปุ่นรับโอกาสศก.ฟื้น ขาย 19-25 เม.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 18, 2016 15:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 19-25 เม.ย.59 บลจ.กสิกรไทย จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นยุโรป (K-EUX) และกองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น (K-JPX) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวจากการเติบโตของตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือผู้ลงทุนที่สามารถจับจังหวะซื้อขายทำกำไรตามการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง

กองทุน K-EUX จะลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน iShares EURO STOXX 50 UCITS ETF (DE) ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี EURO STOXX 50 (ดัชนีอ้างอิง) อันประกอบไปด้วยหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุด 50 ตัวแรกในกลุ่มประเทศยูโรโซน

ส่วนกองทุน K-JPX จะลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน TOPIX Exchange Traded Fund ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นตามดัชนี TOPIX (ดัชนีอ้างอิง) อันประกอบไปด้วยหุ้นทุกตัวที่ซื้อขายในกระดานที่หนึ่ง (First Section) ของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive Strategy) เพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง พร้อมมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ

“จุดเด่นของดัชนี EURO STOXX 50 คือการเป็นดัชนีหุ้นที่สำคัญซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 50 ตัวแรกของยุโรป มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และหุ้นในดัชนีมีการกระจายตัวอยู่ใน 19 กลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ ธนาคาร พลังงาน และสินค้าฟุ่มเฟือย เป็นต้น ขณะที่ดัชนี TOPIX เป็นดัชนีหุ้นที่สำคัญที่มีการกระจายการลงทุนมากกว่าดัชนีอื่นๆในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากประกอบไปด้วยหุ้นทุกตัวที่ทำการซื้อขายในกระดานที่หนึ่งของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ซึ่งมีอยู่ประมาณเกือบ 2,000 หุ้น มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และมีการกระจายตัวอยู่ใน 33 กลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ และธนาคาร เป็นต้น" นายนาวินกล่าว

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุน นายนาวินกล่าวว่า ปัจจัยที่สนันสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปจะมาจากการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรป อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0% และการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมตามมาตรการ QE ซึ่งจะส่งผลทำให้ค่าเงินยูโรมีทิศทางอ่อนค่าลง และจะช่วยหนุนการเติบโตทางผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยุโรปโดยเฉพาะบริษัทที่ทำธุรกิจด้านส่งออก เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนยุโรปมาจากนอกภูมิภาคยุโรป นอกจากนี้การเติบโตด้านการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศรอบนอกยูโรโซน (Peripheral) ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นชัดเจน

ด้านเศรษฐกิจญี่ปุ่น ธนาคารกลางญี่ปุ่นคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น 1.0% – 1.7% ในปีนี้ ต่อเนื่องจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 0.6% จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดต่ำลง นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น ได้ดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในตลาดอย่างต่อเนื่องอาทิ การประกาศใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบที่ -0.1% เพื่อมุ่งหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ การขยายประเภทของสินทรัพย์ที่จะเข้าซื้อโดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว และการเพิ่มปริมาณการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ รวมถึงการดำเนินมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจอื่นๆจากทางภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน อาทิ การปรับลดภาษีนิติบุคคลและการปรับเพิ่มค่าแรงเพื่อหวังการบริโภคในประเทศ เป็นต้น

นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้มีความน่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับตลาดประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา โดยตลาดหุ้นยุโรป ปรับตัวลงมาเกือบ 20% จากจุดสูงสุดเมื่อช่วงเดือนเม.ย.ปี 2558 ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงมากว่า 23% จากจุดสูงสุดเมื่อช่วงเดือนส.ค.ปี 2558 ทั้งนี้ในแง่ระดับราคาของดัชนี EURO STOXX 50 ปัจจุบันมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Forward P/E) อยู่ที่ 13.5 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 5 ปี ซึ่งอยู่ที่ 11.9 เท่า

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะซื้อขายในระดับที่ค่อนข้างแพงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่ตลาดหุ้นยุโรปยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นได้จากปัจจัยสนับสนุนที่กล่าวมา ส่วนระดับราคาของดัชนี TOPIX ปัจจุบันซื้อขายในราคาที่ค่อนข้างถูก โดยปัจจุบันมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Forward P/E) อยู่ที่ 12.39 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 5 ปี ซึ่งอยู่ที่ 14.69 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เม.ย. 59) ดังนั้น บลจ.กสิกรไทย จึงมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุนเพื่อสร้างโอกาสรับผลกำไรจากตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ