นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 8-10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท โดยเป็นการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับยอดขายของบริษัทที่ตั้งเป้าเติบโต 8-10% ในปีนี้ อีกทั้งยังมาจากต้นทุนที่ลดลง อย่างเช่น การตั้งเป้าลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายเป็นต่ำกว่า 18% จากปีก่อนอยู่ที่ 18.8% ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างที่ลดลงทำให้มีกำไรจากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น
สำหรับยอดขายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 1/59 บริษัททำยอดขายได้อยู่ที่ 4.4 พันล้านบาทซึ่งลดลงราว 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1/59 บริษัทไม่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งแตกต่างจากปีไตรมาส 1/58 ที่บริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมหรู คิว สุขุมวิท มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายไตรมาส 1/58 เพิ่มมากขึ้น แต่ไตรมาส 1/59 บริษัทเปิดโครงการใหม่เป็นโครงการแนวราบ 2 โครการ มูลค่า 2.1 พันล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าการเปิดคอนโดมิเนียมไนปีก่อน ส่งผลให้ยอดขายในปีไตรมาส 1/59 ลดลง
ขณะที่รายได้ไนปีนี้บริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปีนี้ 6-7 พันล้านบาท จากปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทส่วนใหญ่จะมาจากโครงการบ้านเดี่ยวกว่า 40% ส่วนทาวน์เฮาส์อยู่ที่ 24-26% และคอนโดมิเนียม 30%
นายชัชชาติ กล่าวว่า กลยุทธ์ของบริษัทต่อไปจะเน้นการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์เพิ่มมากขึ้น โดยเป็นทาวน์เฮาส์ระดับอีโคพรีเมี่ยม ราคา 2.5-3 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งโครงการทาวน์เฮาส์เป็นโพรงการที่มีรอบระยะเวลาตั้งแต่การก่อสร้างถึงการโอนไม่นาน ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ได้อย่างนวดเร็ว ประกอบกับ ปัจจุบันความนิยมซื้อโครงการทาวน์เฮาส์ของประชาชนเริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการทาวน์เฮาส์ในปริมณฑลและต่างจังหวัด ซึ่งบริษัทมองเห็นถึงโอกาสนี้
ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.6 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 13 โครงการ โดยมีสัดส่วนโครงการทาวน์เฮ้าส์ราว 80% และส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ โดยแบ่งช่วงการเปิดโครงการเป็นดังนี้ ไตรมาส 1/59 เปิด 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.1 พันล้านบาท ไตรมาส 2/59 เปิด 4 โครงการ มูลค่า 4.3 พันล้านบาท ไตรมาส 3/59 เปิด 5 โครงการ มูลค่า 5.1 พันล้านบาท และไตรมาส 4/59 เปิด 4 โครงการ มูลค่า 4.7 พันล้านบาท
นอกจากนี้ กลยุทธ์การดำเนินงานไรปีนี้บริษัทจะเน้นการระบายสต๊อกออกให้เหลือน้อยจากปัจจุบันมีสต๊อกทั้งโครงการแนวราบสละคอนโดรวมกันอยู่ที่ 6-8 พันล้านบาท ซึ่งจะเร่งระบายให้เหลือน้อยลงอีก โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทตั้งเป้าจะระบายให้ได้เกือบทั้งหมดที่มีอยู่ 3-4 พันล้านบาทภายในปีนี้ เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทเข่ามาและเป็นการลดต้นทุนอีกด้วย
สำหรับงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 4 พันล้านบาท โดยมองว่าจะใช้ซื้อที่ดินส่วนใหญ่เพื่อนนำมาพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในปัจจุบันทรงตัวอยู่ที่ 10% จากสิ้นปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้มีการให้ลูกค้าวางเงินดาวน์สูงที่ 10-15%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร QH กล่าวว่า แนวโน้มต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะลดลง มาจากการออกหุ้นกู้ของบริษัท ซึ่งล่าสุดบริษัทจะมีการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยกำหนดจองซื้อระหว่างวันที่ 21-22 เม.ย. 59 โดยมีธนาคารกรุงเทพ และธนาคารยูโอบี เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย โดยหุ้นกู้ชุดดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกมูลค่า 3.4 พันล้านบาท อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 62 อัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 1.96% ต่อปี และชุดที่ 2 มูลค่า 600 ล้านบาท อายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 64 อัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 2.22% ต่อปี ซึ่งในปีนี้ต้นทุนดอกเบี้ยหุ้นกู้เฉลี่ยนั้นบริษัทคาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 3% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 3% ซึ่งเป็นผลมาจากหุ้นกู้ชุดใหม่ที่ออกมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า 3%
อีกทั้งบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยปีนี้ตั้งเป้าจะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ไม่เกิน 1 เท่า จากสิ้นปีก่อนที่ 1.46 เท่า
"บริษัทมั่นใจว่ากำไรในปีนี้จะสามารถเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้แม้ว่ากำไรในส่วนของการลงทุนอื่นๆจดละลง" นายชัชชาติ กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนกำไรที่ได้จากการลงทุนเข้าไปถือหุ้นใน บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHBANK) จะลดลงหลังการเข้าถือหุ้นของ CTBC BANK ไต้หวั่น ในสัดส่วน 35.6% จากการเพิ่มทุน และส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ QH หลังการเพิ่มทุนลดลงเป็น 16% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 21.34% ซึ่ง QH จะได้รับกำไรเข้ามาเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้นปัจจุบัน แต่หลังจากการเพิ่มทุนแล้วจะมีกำไรเข้ามาเฉลี่ยปีละเกือบ 100 ล้านบาท แต่บริษัทเชื่อว่าการที่ CTBC เข้ามาจะช่วยให้ LHBANK มีความแข็งแกร่งขึ้นและมีการเติบโตอย่างมากในอนาคต และทำให้ผลการดำเนินงานของ LHBANK เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางบริษัทก็อาจจะมีกำไรจากการลงทุนใน LHBANK เพิ่มมากขึ้นในอนาคต แม้สัดส่วนการถือหุ้นจะลดลงก็ตาม