บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า สำหรับก้าวแรกในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติต้นน้ำนั้น บริษัทได้เริ่มลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนด้วยการถือหุ้นในสัดส่วน 29.4% ในสินทรัพย์ Chaffee Corners Joint Exploration Agreement (JEA) ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ มีแหล่งผลิตอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแหล่ง Mercellus Shale ในมลรัฐเพนซิลเวเนียในสหรัฐ มูลค่าการลงทุน 112 ล้านเหรียญสหรัฐ
อนึ่งแหล่ง Mercellus เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่สุดในสหรัฐและมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกัน ส่วนสินทรัพย์ Chaffee Corners JEA นั้น มีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ P1 จำนวน 156 พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยในปี 59 มีเป้าการผลิตประมาณ 21 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ป้อนให้กับตลาดในประเทศทั้งหมดเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่
สินทรัพย์นี้ยังประกอบด้วยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 65.4% และเป็นผู้ดำเนินการผลิตด้วย คือ Taliman ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำในการผลิตก๊าซแบบ Unconventional ในตลาดสหรัฐ ข้อได้เปรียบที่สำคัญสำหรับผู้ที่ผลิตก๊าซจากแหล่ง Mercellus นั้นคือการมีต้นทุนค่าขนส่งต่ำและมีที่ตั้งอยู่ใกล้กับตลาดผู้บริโภคตามแนวชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐที่มีความต้องการใช้ก๊าซสูง
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 ว่า บริษัทลงทุนในธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจก๊าซฯ ซึ่งเป็นธุรกิจการขุดเจาะสำรวจก๊าซฯในรูปแบบใหม่ (Upstream Unconventional Gas) ในประเทศสหรัฐ ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก และมีกลุ่มลูกค้าที่แน่นอนอยู่แล้ว คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 112 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีแนวโน้มเป็นบวกทำให้คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีในอนาคต โดยการลงทุนในธุรกิจใหม่จะมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจไฟฟ้าและถ่านหิน คาดว่าธุรกิจใหม่จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ โดยใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก และสามารถนำกำไรกลับมาได้ในระยะเวลาสั้น ซึ่งธุรกิจก๊าซฯที่เข้าไปลงทุนนั้นเชื่อว่าจะสร้างกระแสเงินสดกลับมาโดยเร็ว"นางสมฤดี กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสรุปแผนการลงทุนและแผนการเงินได้ในช่วงกลางปีนี้เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทต่อไป
"เราศึกษาเรื่องนี้มากว่า 2 ปีสร้างทีมงานทั้งผู้บริหาร และมีผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจก๊าซฯและน้ำมันที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีมาช่วยดูแล ธุรกิจในสหรัฐที่จะเข้าไปครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นไม่ใช่เป็นการซื้อขายบ่อน้ำมัน เป็นเรื่องของ shale gas ในแหล่งที่มีก๊าซฯที่ดีที่สุดของสหรัฐ...การตัดสินใจเริ่มลงทุนลำดับแรกๆ สินทรัพย์ที่ซื้อเข้ามาเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่แพงมากที่เราเข้าไปแล้วขาดทุน"นางสมฤดี กล่าว
นางสมฤดี กล่าวว่า การลงทุนผลิตก๊าซฯจากชั้นหินดินดาน (shale gas) ในสหรัฐที่บริษัทสนใจเข้าไปลงทุนเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลกำไรได้ทันที เนื่องจากปัจจุบันมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่กว่า 40 เซนต์/ล้านบีทียู เมื่อเทียบกับราคาขาย shale gas ใน Henry Hub ซึ่งเป็นตลาดก๊าซฯในสหรัฐอยู่ที่ 1.95 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ขณะที่แหล่งก๊าซฯดังกล่าวมีผู้ซื้อหลักอยู่แล้ว และหากมีแนวโน้มดีก็จะขยายต่อไปได้อีก เนื่องจากมองว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสการเติบโตสูง
สำหรับการลงทุนในแหล่ง shale gas ครั้งนี้บริษัทตั้งกองทุนใหม่เพื่อเข้าถือหุ้นในแหล่งดังกล่าว โดยกองทุนจะถือหุ้น 29.4% ซึ่งการลงทุนจะมีผลตอบแทนการลงทุนขั้นต่ำ 15% การลงทุนจะไม่ส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท แต่จะเป็นการสร้างกระแสเงินสดให้มากขึ้น หลังจากที่กองทุนจ่ายปันผลออกมาก็จะไม่ส่งกลับมาเมืองไทย แต่จะใช้สำหรับการลงทุนใหม่ๆต่อเนื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อโดยคาดว่าการลงทุนที่ระดับดังกล่าวจะสร้างกระแสเงินสดไม่ต่ำกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี