นายธวัชชัย ชีวานนท์ บมจ.เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ (ASN) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 30 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในช่วงไตรมาส 2/59 หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัทเมื่อในวันที่ 4 เม.ย.โดยจะกระจายหุ้นทั้งจำนวนให้กับนักลงทุนรายย่อย
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เพิ่มจำนวนพนักงานขายประกันทางโทรศัพท์ (Tele sale) จำนวน 100 คน เพื่อเพิ่มพนักงานในส่วนนี้เป็น 300 คน จากปัจจุบัน 200 คน ซึ่งจะต้องใช้วงเงินราว 12 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังวางงบลงทุนไว้ที่ 75 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบซื้อขายประกันผ่านช่องทางออนไลน์ (อีคอมเมิร์ช) ภายใต้แบรนด์ใหม่ คาดว่าจะเปิดให้บริการซื้อขายได้ในช่วงปลายไตรมาส 2/59 หรือต้นไตรมาส 3/59 ซึ่งจะมีบริการเต็มรูปแบบในกลุ่มสินค้าประกันทุกประเภทขายอย่างครบถ้วนในไตรมาส 4/59
"มองว่าหลังจากการเปิดระบบอี-คอมเมิร์ซแล้ว เราจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะแนวโน้มการทำธุรกรรมด้านประกันผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นจากประมาณ 35-70% ในแต่ละประเทศ เป็น 79% นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญคือการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมประกันภัยและประชีวิตในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูง โดยมีค่าเบี้ยประกันรถยนต์และ ประกันชีวิตรวมกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันบริษัทยังไม่มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอีคอมเมิร์ช มีแต่รายได้จากการขายประกันผ่านเทเลเซลล์"นายธวัชชัย กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันรับรวมเติบโต 20-25% จากปีก่อนที่ 950 ล้านบาท โดยยังคงสัดส่วนประกันเป็นประกันวินาศภัย 75% และประกันชีวิต 25% ซึ่งบริษัทยังคงสัดส่วนนี้ต่อไป แม้ว่าปัจจุบันการขายประกันทั้งประกันภัยและประกันชีวิตจะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป และลูกค้าที่ซื้อประกันภัยรถยนต์เริ่มเห็นการปรับลดรูปแบบการซื้อประกันภัยจากประกันภัยรถชั้น 1 เป็นประกันภัยรถชั้น 2+ หรือประกันภัยรถชั้น 3+ ซึ่งเป็นมีค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันภัยชั้น 1 ค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าเบี้ยรับประกันวินาศภัยของตลาดในปีนี้โต 2-3% ส่วนเบี้ยรับประกันชีวิตของตลาดในปีนี้โต 7-9% โดยยังมีประกันสุขภาพที่เป็นตัวหนุนหลักที่ช่วยในการเติบโต
ส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าหมายเติบโต 20-25% จากปีก่อนที่ 161 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้แตะระดับ 200 ล้านบาท ส่วนกำไรก็คาดว่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้ จากปีก่อนบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 250 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลังจากการขาย IPO แล้ว สัดส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ASN จะลดลงเป็น 76% จากก่อนขาย IPO สัดส่วนกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ที่ 100% นอกจากนี้บริษัทยังมั่นใจว่าการขาย IPO และการเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จะได้รับผลตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากเชื่อว่านักลงทุนจะมองที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนบ้างก็ตาม