นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/59 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 9,646 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 22.22% ส่วนใหญ่เกิดจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนในเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญและภาษีเงินได้จำนวน 24,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4,116 ล้านบาท หรือ 19.75% เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,225 ล้านบาท หรือ 5.84% รวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 2,267 ล้านบาท หรือ 14.84% เป็นผลมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดทุนที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลง ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 37.21%
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/58 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 4,169 ล้านบาท หรือ 76.13% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ จำนวน 5,039 ล้านบาท ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล และไตรมาสก่อนธนาคารมีค่าใช้จ่ายพิเศษ (Extraordinary expense) จากการตั้งสำรองการด้อยค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจำนวน 3,020 ล้านบาท หรือ 20.79% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดทุนและตลาดเงิน และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัย โดยยังคงรักษาระดับอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) ไว้ที่ระดับ 3.62% ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 37.21% รวมทั้งธนาคารได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น
ณ วันที่ 31 มี.ค.59 ธนาคารและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 2,643,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 58 จำนวน 88,404 ล้านบาท หรือ 3.46% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 มี.ค.59 อยู่ที่ระดับ 2.81% ขณะที่สิ้นปี 58 อยู่ที่ระดับ 2.70% อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 มี.ค.59 อยู่ที่ระดับ 135.13% ขณะที่สิ้นปี 58 อยู่ที่ระดับ 129.96% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มี.ค.59 อยู่ที่ 18.36% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 14.88%