นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า ธนาคารคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวที่ 3.2% ซึ่งจะสนับสนุนต่อการขยายตัวของสินเชื่ออย่างครอบคลุมที่ 5-6% อย่างไรก็ดี ธนาคารยังคงต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะช้ากว่าที่คาด ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกเป็นการฟื้นตัวด้วยข้อจำกัด คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ และภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตแข็งแกร่ง แม้ว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ การบริโภคจะฟื้นตัวโดยได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าเกษตรที่มีเสถียรภาพมากขึ้น การเติบโตของรายได้นอกภาคเกษตร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล ขณะที่การเร่งเบิกจ่ายภาครัฐและโครงการลงทุนจะเอื้อต่อการฟื้นตัวของการลงทุน
อนึ่ง ในไตรมาส 1/59 BAY มีผลกำไรที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง 19.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะเผชิญสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ท้าทาย กอปรกับผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาลในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจขนาดใหญ่ ปัจจัยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ
เงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท ลดลงจำนวน 1.3 พันล้านบาท คิดเป็น 0.1% จากเดือน ธ.ค.58 การลดลงของเงินให้สินเชื่อในไตรมาส 1/59 มาจากปัจจัยด้านฤดูกาลในการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจขนาดใหญ่ และความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยเติบโตจากเงินให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
เงินรับฝากลดลง 1.3% จากเดือน ธ.ค.58 การลดลงของเงินรับฝากสอดคล้องกับความต้องการของสินเชื่อที่ชะลอลง ทั้งนี้ สัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถามต่อเงินรับฝากทั้งหมดปรับสูงขึ้นอยู่ที่ 54.8% ณ สิ้นเดือน มี.ค.59
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.81% เทียบกับ 3.82% ในไตรมาส 4/58 สะท้อนต้นทุนทางการเงินปรับตัวดีขึ้นระหว่างไตรมาส แม้ว่าผลตอบแทนโดยรวมของสินทรัพย์จะปรับลดลง
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งหมดอยู่ที่ 2.28% เมื่อเทียบกับ 2.24% ในเดือน ธ.ค.58 ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นจาก 140.6% ณ สิ้นปี 58 มาอยู่ที่ 142.9% ณ สิ้นไตรมาส 1/59
ณ วันที่ 31 มี.ค.59 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในไทยมีสินเชื่อรวม 1.302 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.032 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 1.754 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 167.2 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 13.5% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 11.8%
"ในไตรมาส 1/59 กรุงศรีมีกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะเผชิญสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ท้าทาย กอปรกับผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาลในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการชำระคืนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่ดีในไตรมาส 1/59 มาจากการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของธนาคารภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางในการเติบโตและเพิ่มสัดส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ขณะเดียวกันรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากต้นทุนทางการเงินที่ปรับดีขึ้น จากการปรับเพิ่มขึ้นของสัดส่วนเงินฝากต้นทุนต่ำและยอดเงินรับฝากที่ลดลง"