ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ NWR ที่ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 21, 2016 17:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ผ่านมาของบริษัทในโครงการรับเหมาก่อสร้างทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนและมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ที่อยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น ตลอดจนลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การแข่งขันที่รุนแรง และความเสี่ยงจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่ไม่เป็นไปตามแผน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในงานโยธาจากโครงการของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ต่อไป อีกทั้งบริษัทจะสามารถคว้าโอกาสในการได้งานใหม่จากโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะที่การเก็บเงินจากลูกหนี้จะบริหารจัดการได้ โดยที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 60% หรืออัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 1.5 เท่าในช่วงปี 2559-2561 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่มากกว่า 8%

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากการดำเนินงานของบริษัทมีผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดต่ำกว่า 7% หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมต่ำกว่า 10% นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบหากการขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มเกินกว่า 60% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ในขณะที่การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในขณะที่ผลตอบแทนจากธุรกิจดังกล่าวยังไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการลดลงของภาระหนี้จะเป็นปัจจัยบวกแก่อันดับเครดิต/และหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท

NWR ก่อตั้งในปี 2519 เพื่อดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วไป บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2538 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2559 คือนายพลพัฒ กรรณสูต ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 10% บริษัทสามารถรับงานก่อสร้างได้หลากหลายประเภท เช่น งานก่อสร้างอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม งานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม งานท่าเรือ งานระบบชลประทาน งานอุโมงค์ และงานท่อ เป็นต้น ในปี 2555 บริษัทขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปีต่อมาบริษัทได้จัดตั้ง บริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ปัจจุบันบริษัทมานะพัฒนาการมีโครงการบ้านจัดสรร 2 โครงการและคอนโดมิเนียม 1 โครงการอยู่ในระหว่างการพัฒนา

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทในระดับปานกลางจากผลงานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านการดำเนินงานตามแผนและผลงานที่แล้วเสร็จ บริษัทจัดอยู่ใน 6 อันดับแรกของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในแง่ของรายได้และขนาดของสินทรัพย์ ความสามารถที่รับงานก่อสร้างได้หลากหลายส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยรายได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 4,000 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 7,600 ล้านบาทในปี 2558 รายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้จะประสบกับปัญหาการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างในบางโครงการ แต่บริษัทก็ยังสามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจาก 3.9% เป็น 5.5% ได้ในช่วงที่ผ่านมา อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน ก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ในปี 2558 อยู่ที่ 8.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 7.7% ในปี 2557 นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้อย่างต่อเนื่องจากการร่วมทุนในโครงการขุดและขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะภายใต้สัญญาสัมปทานอายุ 9 ปี

ณ สิ้นปี 2558 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่า 14,390 ล้านบาท โดยมีโครงการหลัก ได้แก่ โครงการขุดและขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะซึ่งมีมูลค่า 2,693 ล้านบาท โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะ (ทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม) มูลค่า 2,039 ล้านบาท และโครงการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียมูลค่า 1,758 ล้านบาท โดยงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่าสูงสุด 3 ลำดับแรกมีมูลค่ารวม 6,490 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบทั้งหมด ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์อย่างสูงจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม กำหนดเวลาในการดำเนินโครงการยังคงไม่มีความชัดเจน

บริษัทได้ขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มฐานรายได้ ทั้งนี้ ในช่วงแรกในปี 2549 บริษัทได้ลงทุน 40% ในบริษัทร่วมแห่งหนึ่งร่วมกับ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ (CI) โดยในช่วงที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ในปี 2550 บริษัทยังได้ลงทุนในสัดส่วน 25% ใน บริษัท วีเอสพีเอ็น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวริมทะเลในจังหวัดชลบุรีอีกด้วย

จนกระทั่งในปี 2555 บริษัทจึงได้พัฒนาโครงการของบริษัทเองซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อ "บารานี" และตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ดำเนินการภายใต้บริษัทมานะพัฒนาการ ทั้งนี้ บริษัทมานะพัฒนาการได้เปิดขายบ้านเดี่ยว 2 โครงการและคอนโดมิเนียม 1 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 2,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดี รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ แต่ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อันดับเครดิตยังสะท้อนรวมไปถึงการที่บริษัทยังคงมีผลงานในด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่มากนัก โดยบริษัทประสบกับยอดขายที่ต่ำกว่าเป้าหมายในโครงการบ้านเดี่ยวแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ตามแผนยังคงเป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิตของบริษัทด้วย

อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นของบริษัท ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อตอบสนองความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายฝ่ายทุน นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับผลกระทบอย่างมากจากลูกหนี้ค้างชำระซึ่งส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท บริษัทรายงานผลขาดทุน 174 ล้านบาทในปี 2558 เนื่องจากการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 218 ล้านบาทสำหรับลูกหนี้ที่ค้างชำระเป็นเวลานาน

ในการประเมินอันดับเครดิตนั้น ทริสเรทติ้งได้รวมภาระหนี้ของกิจการร่วมค้าไว้ด้วยเพื่อสะท้อนภาระหนี้ของบริษัทในฐานะผู้ร่วมลงทุนและการค้ำประกัน ทั้งนี้ เนื่องจากรายงานงบการเงินของบริษัทไม่ได้สะท้อนภาระหนี้ทั้งหมด ณ สิ้นปี 2558 บริษัทมีภาระหนี้ทั้งหมด 5,031 ล้านบาท ซึ่งรวมหนี้ของกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนการลงทุน เพิ่มขึ้นจาก 2,385 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 57.7% ณ สิ้นปี 2558 เพิ่มขึ้นจาก 49.9% ในปี 2557 และ 44.1% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นได้รับการบรรเทาลงด้วยสภาพคล่องที่มีอยู่อย่างเพียงพอจากการมีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวจำนวนมาก อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งยังคงเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อระดับรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2561 ความเสี่ยงที่รายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าประมาณการอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากบริษัทมีมูลค่างานในมือคิดเป็นสัดส่วนประมาณถึง 45%-75% ของรายได้พื้นฐานที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 600 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 6%-8% มาอยู่ในระดับที่มากกว่า 8% เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าเดิมจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วง 45%-55% ในช่วงปี 2559-2561 ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 600-800 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะสูงกว่า 15% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในระดับเกินกว่า 4 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ