นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 59 ว่า บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาที่มีผลการดำเนินงานเป็นสถิติใหม่นับตั้งแต่บริษัทด้วยผลกำไรสุทธิที่ 1,136 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 3,454 ล้านบาท ขณะที่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในตลาดใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants:DW) เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 7% จากปีก่อนอยู่ที่ 6.8% โดยคาดว่าจะเพิ่มฐานลูกค้าอีก 4-5 หมื่นบัญชี จากปีก่อนอยู่ที่ 2.2 แสนบัญชี และจะเน้นการให้ความรู้แก่นักลงทุน พร้อมกับพัฒนานวัตกรรม และเครื่องการลงทุน อย่างเช่นการเลือกหุ้น บทวิเคราะห์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการจัดอบรมให้ความรู้แก่นักลงทุน ให้สามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างผลกำไรให้แก่ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ฐานลูกค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของธุรกิจด้านวาณิชธนกิจ (IB) นั้น บริษัทเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีก 3-4 บริษัท คือ บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ที่อยู่ระหว่างรอภาวะตลาดให้มีความเหมาะสมก่อน ส่วนที่เหลือก็จะมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
"ด้วยความไว้วางใจจากลูกค้าทำให้ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และปีนี้เราก็เชื่อว่าจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยปีนี้คาดว่าปริมาณการซื้อขายจะอยู่ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท/วัน และแนวโน้มการซื้อขายหุ้นผ่านระบบอินเตอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทจึงให้ความสำคัญยิ่งขึ้นกับการให้ความรู้ และการพัฒนานวัตกรรมและเครื่องมือช่วยเหลือในการลงทุนใหม่ๆผ่านระบบออนไลน์ จะช่วยให้จำนวนบัญชีขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ธุรกิจด้านการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ก็จะยังทำอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจด้าน IB ก็ยังมีดีลทำ IPO ในปีนี้อีก 3-4 แห่ง"นายพิเชษฐ กล่าว
นายพิเชษฐ กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,440 จุด บนระดับ P/E ที่ 15.5 เท่า ซึ่งในปัจุบันมองว่ามีอัพไซต์ค่อนข้างจำกัดแล้ว โดยมีปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ ได้แก่ ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวและค่าเงินหยวนที่มีความผันผวนสูงอาจมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกและค่าเงินบาทให้ผันผวนตามไปด้วย ขณะที่ยังต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในครั้งหน้าถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจมีผลกระทบในระยะสั้น รวมถึงกรณีที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) หรือไม่ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะส่งกระทบเป็นวงกว้างค่อนข้างสูง
ส่วนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมองว่ายังมีความผันผวนสูง โดยประเมินว่าจะอยู่ในระดับ 30-35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ท่ามกลางภาวะปริมาณน้ำมันที่โอเวอร์ซัพพลาย ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยังคงปริมาณเท่าเดิมและการเจรจากับผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นๆยังไม่ลงตัวหรือชัดเจนแต่อย่างใด
สำหรับปัจจัยภายในประเทศยังมีความกังวลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่ากำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 1/59 อาจรับผลกระทบจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ยังมีความเสี่ยงต่อการลงทุนอยู่ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะปรับลดประมาณการกำไรของบจ.โดยรวมด้วย หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐยังไม่ชัดเจน แต่หากมาตรการของภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้นก็จะหนุนให้เกิดบรรยากาศการใช้จ่ายและการลงทุนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีปัจจัยหนุนที่ดี ได้แก่ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่เข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลขนาดเล็กเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจจึงส่งผลต่อผลการดำเนินงานให้เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน โดยมองหุ้นเด่น ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) เป็นต้น และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ที่ได้รับอานิสงส์จาก โครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่ได้รับผลประโยชน์หลายบริษัท และกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ที่ได้รับแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่ของการใช้จ่ายจากภาครัฐ หุ้นที่รับผลบวก ได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) , บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ,บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) เป็นต้น