นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาส 1/59 ว่า แม้สภาวะเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมยังทรงตัว แต่ธนาคารยังคงสามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญในขณะนี้คือ การช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้คำแนะนำโดยเฉพาะในด้านบริหารความเสี่ยง ตลอดจนเพิ่มบริการทางการเงินตามความจำเป็นโดยพิจารณาจากความต้องการและประเภทธุรกิจของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดและก้าวผ่านเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี
SCB ประกาศผลกำไรสุทธิประจำไตรมาส 1/2559 (งบการเงินรวมก่อนสอบทาน) มีผลกำไรสุทธิจำนวน 10,546 ล้านบาทลดลง 19.8% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของไตรมาส 1/2558
กำไรจากการดำเนินงานมีจำนวน 18,104 ล้านบาทลดลง 9.7% จากไตรมาส 1/2558 เนื่องจากบริษัทย่อย คือ SCB Life ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีโดยได้คำนวณสำรองประกันชีวิตและมีการจัดประเภทรายการเงินลงทุนใหม่ ซึ่งส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิประมาณ 3,500 ล้านบาท บริษัทได้คำนึงถึงหลักความระมัดระวังจึงได้ตัดสินใจตั้งสำรองประกันชีวิตสำหรับทั้งปีในภาวะอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเป็นจำนวน 7,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี กำไรจากการดำเนินงานตามงบเฉพาะของธนาคารเพิ่มขึ้น 9.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียม ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงเมื่อเทียบปีก่อนนอกจากนี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญจำนวน 5,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนบนพื้นฐานของความระมัดระวังและเพื่อเพิ่มอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพให้มีความแข็งแกร่ง
ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิตามงบการเงินรวมในไตรมาส 1/2559 มีจำนวน 21,670 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.5% จากไตรมาส 1/2558 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อบุคคล 5.4% ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมเพิ่มขึ้น 1.6% นอกจากนี้ ธนาคารสามารถบริหารต้นทุนเงินฝากได้ดีขึ้น โดยการเพิ่มสัดส่วนเงินฝากประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวันส่งผลให้ต้นทุนเงินฝากเฉลี่ยลดต่ำลง
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยตามงบการเงินรวมลดลง 33% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีของ SCB Life ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบของ SCB Life ดังระบุข้างต้น รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.9% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 6.2% และกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 184%
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.64% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.89% อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นบนพื้นฐานของความระมัดระวังและเพื่อเพิ่มอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ โดยได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 5,010 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.09% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาส 1/2558 ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นเป็น 122.8% ณ สิ้นไตรมาส 1/2559 จาก 109.8% ณ สิ้นปี 2558
ด้านนายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCB กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาสแรกนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการบริหารความเสี่ยงของธนาคารที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดลงของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ดีนัก ซึ่งภายใต้สภาวะเช่นนี้กลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีและรายย่อยจะยังคงเป็นความท้าทายต่อไป นอกจากนี้แล้วการบริหารความเสี่ยงควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ที่ก้าวหน้า จะเป็นรากฐานที่ดีสำหรับการเติบโตของสินเชื่อในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น