นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 9,700 ล้านบาท เติบโต 13% จากปี 58 ที่มีรายได้ 8,600 ล้านบาท โดยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายราว 8,600 ล้านบาท และที่เหลือเป็นรายได้การให้เช่าพื้นที่เพื่อการพาณิชย์
ส่วนยอดขายในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปี 58 ที่มียอดขาย 1.3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะเปิดโครงการใหม่จำนวน 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.6 หมื่นล้านบาท ทั้งประเทศบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และทาวน์โฮม พร้อมทั้งเตรียมงบซื้อที่ดินไว้ 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทยังคงตั้งเป้าเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯชั้นนำติด 1 ใน 5 ของไทยในปี 63 ในแง่ของรายได้รวม
ขณะที่การพัฒนาโครงการ FYI Center บนพื้นที่เกือบ 9 ไร่ บริเวณหัวมุมแยกรัชดา – พระราม 4 ด้วยอาคารสำนักงานสูง 12 ชั้นนั้นในปีนี้ตั้งเป้ายอดผู้เช่าพื้นที่อาคารเต็ม 100% ปัจจุบันมียอดผู้เช่าพื้นที่ล่วงหน้าแล้ว 70% และมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาในส่วนของโรงแรมโมเดน่า บาย เฟรเซอร์ กรุงเทพฯ จำนวน 239 ห้อง คาดว่าภายในไตรมาส 3/59 น่าจะเสร็จเรียบร้อยทั้งโครงการ
"มองจากภาวะต่างๆ ที่เข้ามากระทบแล้ว ปีนี้ก็จะเติบโตทั้งแง่รายได้และยอดขาย จากการเปิดโครงการต่างๆ ส่วนธุรกิจให้เช่า โครงการ FYI Center ปีนี้จะเสร็จสมบูรณ์ ในส่วนของโรงแรมไตรมาส 3 น่าจะเสร็จ ธุรกิจคอมเมอร์เชียลปีนี้ก็จะเติบโตขึ้นจากราคาค่าเช่าที่โตขึ้น และอัตราค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันอาคารสาทร สแควร์ ออฟฟิศ อัตราการเช่า (OCC) ที่ 96%"นายธนพล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมเข้าพัฒนาโครงการสามย่าน บนพื้นที่ 13 ไร่ มูลค่าโครงการ 8,500 ล้านบาท โดยจะพัฒนาในรูปแบบโครงการประเภท Mixed-Use ทั้งคอนโดมิเนียม เรสซิเดนท์ และศูนย์การค้า ซึ่งเป็นการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง GOLD ที่จะเข้าถือหุ้น 49% กับบริษัท ทิพย์พัฒน อาร์เขต จำกัด ในเครือทีซีซีแลนด์ ที่จะเข้ามาถือหุ้น 51% แต่ GOLD เป็นผู้ดำเนินการ บริหารจัดการเองทั้งหมด หลังจากขณะนี้ได้รับการอนุมัติการเข้าใช้พื้นที่จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว
นายปณต สิริวัฒนภักดี รองประธานกรรมการ GOLD กล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้น GOLD อนุมัติการออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี เพื่อการขยายการลงทุนในปีนี้และปีถัดไป ใช้ประกอบธุรกิจทั่วไป ชำระคืนเงินกู้ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และบริษัทย่อย ซึ่งการออกหุ้นกู้ดังกล่าว เป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของบริษัทและศักยภาพทางธุรกิจด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับภาวะตลาด
ด้านนายธนพล กล่าวอีกว่า ระยะเวลาในการออกหุ้นกู้ดูตามสภาวะการณ์ภาวะตลาด และจังหวะเวลาของการใช้เงิน แต่เชื่อว่าต้นทุนทางการเงินจะถูกลง เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ก็ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงไปแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน GOLD มีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุน (D/E) หลังจากจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (Golden Ventures REIT :GVREIT) อยู่ที่ 1.09 เท่า ลดลงจากปี 58 ที่อยู่ในระดับ 1.79 เท่า
"ปี 59 GOLD ยังมุ่งมั่นที่จะโตจากธุรกิจอสังหาฯ โดยปี 2020 มุ่งเป็น 1 ใน 5 ของไทย ธุรกิจจะโฟกัส 2 ส่วน คือรายได้จากโครงการที่อยู่อาศัย และรายได้คอมเมอร์เชียล"นายธนพล กล่าว