นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. บางกอกชีทเม็ททัล (BM) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้มีหนังสือแจ้งอนุญาตให้บริษัทฯ เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนแล้ว และบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในลำดับต่อไป
ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนเท่ากับ 200,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้วเท่ากับ 150,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 300,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 100,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต และขยายไลน์การผลิตให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น
"เราเชื่อว่า BM จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หลังจากที่ได้เดินทางให้ข้อมูลกับนักลงทุนครบทั้ง 10 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี พิษณุโลก นครสวรรค์ เชียงใหม่ สงขลา(อำเภอหาดใหญ่) และกรุงเทพมหานคร และที่สำคัญ BM ก็มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถแต่งตั้งผู้ จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น (Underwriter) และดำเนินการจองซื้อหุ้น IPO รวมถึงเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ภายในพฤษภาคมนี้ โดยหุ้นสามัญของบริษัทฯ จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “BM" ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ" นายสมศักดิ์ กล่าว
ด้านนายธานิน สัจจะบริบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BM กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก ได้แก่ รางเดินสายไฟฟ้า ตู้สื่อสาร ตู้ไฟฟ้า ตู้โลหะ และแผงควบคุมไฟฟ้าที่ใช้ตามอาคาร คอนโดมิเนียม สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม สถานีไฟฟ้า เป็นต้น ภายใต้ตราสินค้า “BSM", “BM", “BS" และ “BEST" และผลิตภัณฑ์ขึ้นรูปอื่นๆ จากโลหะตามความต้องการของลูกค้า และเป็นผู้จำหน่ายท่อร้อยสายไฟฟ้า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2557 และปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวม 698.91 ล้านบาท และ 806.13 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 45.34 ล้านบาท และ 67.70 ล้านบาท ตามลำดับ