ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) เป็นระดับ “A-" จากเดิมที่ระดับ “A" ซึ่งสะท้อนการที่บริษัทมีกระแสเงินสดส่วนเกินที่ลดลงหลังจากการขยายการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องและความต้องการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าที่ต่ำกว่าคาด พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดนี้จะนำไปชำระหนี้เดิมของบริษัทและใช้ในการขยายการลงทุนตามแผนการของบริษัท โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิต “A-" ยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า ตลอดจนกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าโรงงานและคลังสินค้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้พิจารณาถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ต่ำกว่าคาดการณ์ซึ่งอาจส่งผลลบต่อการลงทุนและความต้องการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าได้ และคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มอัตราการให้เช่าและบริหารจัดการแหล่งเงินทุนของบริษัทได้อย่างเหมาะสม เพื่อสามารถรักษาระดับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
อันดับเครดิตที่จะปรับขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งทำให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าลดลง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีโอกาสปรับขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มอัตราการเช่าและกระแสเงินสดได้อย่างมีนัยสำคัญเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ การที่บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนยังคงเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิต ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทมีการการลงทุนจำนวนมากซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินและระดับความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลง
บริษัทไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2533 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่การให้บริการคลังสินค้าให้เช่าตั้งแต่ปี 2548 ณ เดือนธันวาคม 2558 บริษัทมีโรงงานให้เช่าจำนวน 64 แห่งและมีคลังสินค้าให้เช่าจำนวน 57 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่โลจิสติกส์หลักของประเทศ รวมเป็นพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 474,903 ตารางเมตร (ตร.ม.)
ณ เดือนมีนาคม 2559 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทยังคงเป็น บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (43.6%) กลุ่มซิตี้เรียลตี้ (7.0%) และกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (2.8%) ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากผลงานการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ รวมทั้งความสามารถในการก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปตามมาตรฐานในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งจากการใช้ทีมงานก่อสร้างของบริษัทเอง ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานสำเร็จรูปให้เช่ากระจายตัวอยู่ในทำเลต่าง ๆ 18 แห่งและมีคลังสินค้าให้เช่าใน 33 ทำเล
รายงานของ CB Richard Ellis (CBRE) ระบุว่าบริษัทยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศไทยในปี 2558 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทและบริษัทในเครือมีส่วนแบ่งทางการตลาดในโรงงานให้เช่าลดลง โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่คิดจากพื้นที่โรงงานที่มีผู้เช่าลดลงจาก 66% ในปี 2553 เป็น 50% ณ เดือนธันวาคม 2558 อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทยังคงมากกว่าอันดับ 2 ที่มีสัดส่วนการตลาดเพียง 19% สำหรับธุรกิจคลังสินค้าให้เช่านั้น บริษัทเป็น 1 ใน 2 ของผู้ให้บริการคลังสินค้าให้เช่ารายใหญ่ของไทย โดยพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าของบริษัทและบริษัทในเครือคิดเป็น 45% ของพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าทั้งประเทศ
ในปี 2558 พื้นที่ให้เช่าของบริษัท (หากไม่นับรวมผลกระทบจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนหรือทรัสต์) เพิ่มขึ้น 169,262 ตร.ม. โดยประมาณ 86% เป็นพื้นที่คลังสินค้า พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้น 146,387 ตร.ม. ในปี 2558 เทียบกับการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 164,000 ตร.ม. ในช่วงระหว่างปี 2554-2557 การเติบโตของพื้นที่คลังสินค้าของบริษัทเกิดจากความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคกลางและพื้นที่ใกล้เคียงกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม พื้นที่โรงงานให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 22,875 ตร.ม. ในปี 2558 เทียบกับการเพิ่มขึ้นในปี 2556-2557 ที่เท่ากับ 30,000-50,000 ตร.ม.
ทั้งนี้ ความต้องการจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของโรงงานให้เช่ายังคงลดลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การชะลอตัวของธุรกิจยานยนต์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความต้องการโรงงานให้เช่าชะลอตัวด้วย นอกจากนี้ ความต้องการโรงงานให้เช่าในเขตที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ยังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้คิดเป็น 16% ของพื้นที่ว่างให้เช่าทั้งหมดของบริษัท ปัจจัยเหล่านี้ทำให้พื้นที่โรงงานให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ไม่มาก
ถึงแม้พื้นที่ให้เช่ารวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราการให้เช่าพื้นที่ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการให้เช่าไม่รวมพื้นที่เช่าล่วงหน้า (Pre-leased Area) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 เท่ากับ 56.2% เทียบกับระดับ 73.4% ณ สิ้นปี 2555 อัตราการให้เช่าพื้นที่ที่อยู่ระดับต่ำมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่บริษัทลงทุนสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติมในพื้นที่ใหม่ ๆ จำนวนมากและความต้องการเช่าโรงงานที่เพิ่มขึ้นไม่มาก
รายได้ค่าเช่าของบริษัทในปี 2558 เพิ่มขึ้น 9% เป็น 1,049 ล้านบาทในปี 2558 จาก 966 ล้านบาทในปี 2557 อันเป็นผลเนื่องมาจากการที่บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นและขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอนน้อยลงในช่วงปลายปี 2558 รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust -- REIT) หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยรายได้จากการขายสินทรัพย์เท่ากับ 3,037 ล้านบาทในปี 2558 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าในปี 2555-2557 ที่ระดับประมาณ 4,500 ล้านบาท ในปี 2558 อัตรากำไรของบริษัทยังคงลดลง อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจโรงงานให้เช่าลดลงมาอยู่ที่ 77% ในปี 2558 จาก 81% ในปี 2556 อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคลังสินค้าปรับตัวลดลงเช่นกันจาก 71% ในปี 2556 มาอยู่ที่ 67% ในปี 2558
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปกติให้อัตรากำไรต่ำกว่าในสัดส่วนที่ลดลง ทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายปรับตัวดีขึ้นจาก 29.3% ในปี 2557 เป็น 32.1% ในปี 2558 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอยู่ที่ระดับ 1,451 ล้านบาทในปี 2558 จาก 1,866-2,911 ล้านบาท ในปี 2555-2557
บริษัทมีภาระหนี้เงินกู้รวมเพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างปี 2556-2558 จาก 10,600 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 เป็น 22,009 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการลงทุนจำนวนมากเพื่อเพิ่มโรงงานและคลังสินค้าในหลายทำเลทั่วประเทศ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ระดับสูงที่ 65% ณ สิ้นปี 2558 กระแสเงินสดส่วนเกินเพื่อรองรับการชำระหนี้ลดลงต่อเนื่องในปี 2558 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอยู่ในระดับต่ำเท่ากับ 2.4 เท่าในปี 2558 และ 2.9 เท่า ในปี 2557 เทียบกับ 4.5-6.0 เท่าในช่วงปี 2555-2556 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอ่อนลงมาอยู่ที่ระดับ 6.6% ในปี 2558 และ 10.8% ในปี 2557 เทียบกับ 18.6%-19.8% ในช่วงปี 2555-2556
ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 2,600 ต่อปีในช่วงปี 2559-2561 โดยบริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อปีเข้า REIT ดังนั้นคาดว่าอัตราส่วนหนี้เงินกู้ต่อโครงสร้างทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับ 60%-65% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า