บมจ.แสนสิริ (SIRI) เตรียมเปิดขายโครงการแนวราบอีก 7 โครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง รวมมูลค่าโครงการประมาณ 8 พันล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกเปิดขายไปแล้ว 3 โครงการ พร้อมทั้งคาดว่าราคาขายโครงการแนวราบในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับขึ้นราว 5-10% ตามทิศทางราคาที่ดิน ขณะที่ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (backlog) สำหรับโครงการแนวราบ 400-500 ล้านบาทซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในปีนี้
นายเมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเปิดโครงการแนวราบในครึ่งปีหลังอีก 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 8 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการ และโครงการทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ โดยครึ่งปีแรกมีการเปิดโครงการแนวราบไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่า 7 พันล้านบาท จากแผนการเปิดโครงการแนวราบทั้งปีจำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับราคาขายโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 5-10% ตามแนวโน้มราคาที่ดินที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ของราคาตลาดบ้านเดี่ยวในตลาด
นายเมธา กล่าวว่า บริษัทยังมองแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวในครึ่งปีหลังจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับบนราคา 8-10 ล้านบาท ซึ่งมีความต้องการที่แท้จริงของตลาดจากผู้ซื้อที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
สำหรับในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาสแรกสามารถปิดการขายไปได้แล้วกว่า 3 พันล้านบาท และล่าสุดพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว "เศรษฐสิริ พัฒนาการ" จำนวน 284 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3.1 พันล้านบาท เมื่อปลายไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ "เศรษฐสิริ" ระดับราคา 8-25 ล้านบาทที่ได้รับการตอบรับที่ดีมากโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกที่มีดีมานด์ตอบรับสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โครงการในทำเลดังกล่าวทั้ง "เศรษฐกิจ กรุงเทพกรีฑา"มียอดขายแล้ว 60% และ "เศรษฐสิริ อ่อนนุช ศรีนครินทร์" มียอดขายแล้ว 90%
ขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายโครงการแนวราบไนไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 3 พันล้านบาท ซึ่งเท่ากับยอดขายในไตรมาส 1/59 โดยจะเปิดโครงการบ้านเดี่ยวในต่างจังหวัดใหม่ คือ โครงการบ้านเดี่ยวสราญสิริ เกาะแก้ว จ.ภูเก็ต มูลค่าโครงการ 1.04 พันล้านบาท ซึ่งมีกำหนดเปิดขายในเดือนมิถุนายนนี้
อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่ายอดขายโครงการแนวราบจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเปิดโครงการแนวราบที่มากขึ้น ซึ่งจะทยอยเปิดโครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการตั้งแต่ไตรมาส 3/59 เป็นต้นไป ส่วนไตรมาส 4/59 จะเปิดทาวน์เฮาส์ใหม่ทั้งหมด 3 โครงการ โดยอาจจะเปิดแบรนด์ทาวน์เฮาส์ใหม่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีแบรนด์ทาวน์อเวนิว ซึ่งจะผลักดันให้ยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก โดยตั้งเป้ายอดขายโครงการแนวราบในไตรมาส 3/59 และไตรมาส 4/59 ไว้ที่ 4 พันล้านบาท/ไตรมาส
นายเมธา กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอนราว 400-500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ใน 1-2 เดือนจากนี้ โดยปัจจุบันนโยบายการพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัทจะเป็นการสร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาทันที และยังช่วยลดต้นทุนในการทำการตลาดของบริษัทลงได้ ด้านงบซื้อที่ดินของโครงการแนวราบในปีนี้ตั้งไว้ที่ 3 พันล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่ใช้ไป 6 พันล้านบาท เนื่องจากปีก่อนบริษัทซื้อที่ดินไว้จำนวนมากแล้วทำให้ปีนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื่อที่ดินเพิ่มมาก
ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบในปีนี้คาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนยังไม่ดีขึ้นเนื่องจากมีหนี้สินภาคครัวเรือนกดดัน โดยเฉพาะตลาดแนวราบราคา 3-5 ล้านบาท แม้มีความต้องการมากแต่ไม่มีปริมาณที่จะเข้ามารองรับความต้องการในช่วงนี้ เพราะยังมีความกังวลเรื่องการขอสินเชื่อจากธนาคาร ทำให้ผู้ประกอบการหันไปพัฒนาตลาดแนวราบระดับบนราคา 8-15 ล้านบาทมากขึ้น เพราะโครงการระดับบนมีอัตราการปฎิเสธสินเชื่อที่ต่ำ ขณะที่ผู้ซื้อจะมีกำลังซื้อที่มากกว่าระดับล่างอีกด้วย
สำหรับแคมเปญการทำการตลาดปีนี้บริษัทได้ปรับรูปแบบสำหรับการทำการตลาดของโครงการบ้านเดี่ยวใหม่ด้วยการ ออกแคมเปญเน้นเรื่องของแบรนด์ โดยการรวมแบรนด์ในการทำการตลาดภายใต้เครือแสนสิริ ทั้ง 5 แบรนด์ที่มีอยู่ ได้แก่ นาราสิริ ระดับราคา 20-60 ล้านบาท เศรษฐสิริ ราคา 8-20 ล้านบาท บุราสิริ ราคา 7-10 ล้านบาท สราญสิริ ราคา 5-7 ล้านบาทและคณาสิริ ราคา 3-5 ล้านบาท โดยอยู่ภายใต้แคมเปญ "แสนสิริ บ้านที่ใช่ทุกความรู้สึก" โดยใช้งบการตลาด 60 ล้านบาท