นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บมจ.สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/59 จะออกมาดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/59 ที่ทำกำไรสุทธิเติบโต 166.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามแผนการรุกตลาดต่างประเทศ ประกอบกับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเริ่มปรับตัวลดลงทำให้ความต้องการใช้มีมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายฐานและสร้างรายได้ของบริษัท ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตในทิศทางเดียวกับยอดขายที่ยังคงเป้าหมายเติบโต 15-20% จากปีก่อน
"ผลงานที่ออกมาทั้งยอดขายและกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก และคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/59 ผลประกอบการจะออกมาดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การรุกตลาดต่างประเทศ บริษัทยังคงบริหารงานโดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการขยายตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศ เพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับธุรกิจ โดยเฉพาะในแถบประเทศที่กำลังพัฒนาในโซนแอฟริกา และเอเชีย เนื่องจากยังมีความต้องการใช้แก๊ส LPG เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ขยายตัว ประกอบกับราคา LPG ในตลาดโลกเริ่มปรับตัวลดลง ทำให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนหันมาใช้แก๊ส LPG เป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น จึงมองว่าเป็นโอกาสในการขยายฐานสร้างรายได้ให้กว้างยิ่งขึ้น"นายสุรศักดิ์ กล่าว
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจทั้งปี 59 บริษัทยังประเมินยอดขายเพิ่มขึ้น 15-20% จาก 2,825 ล้านบาทในปีก่อน เป็นผลมาจากแนวโน้มความต้องการใช้แก๊ส LPG ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการใช้ถังบรรจุขยายตัวตามไปด้วย ประกอบกับบริษัทได้ปรับปรุงคุณภาพการผลิตเพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระยะสั้นบริษัทได้ปรับปรุงคอขวดในส่วนของการผลิต และปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
โดยได้เริ่มปรับปรุงแล้วตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปีนี้ และสามารถเริ่มใช้งานได้ในไตรมาส 3 นี้ โดยการปรับปรุงเครื่องจักรดังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตถังแก๊สได้อีกราว 10% จาก 6.2 ล้านใบ/ปี เป็น 6.8 ล้านใบ/ปี ด้านกำไรสุทธิปีนี้เราคาดว่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกับยอดขายได้ ที่นอกจากจะขยายตัวตามแผนการรุกตลาดต่างประเทศแล้ว ยังได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า เพราะรายได้หลักของบริษัทมาจากต่างประเทศกว่า 90%
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/59 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 811.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าเงินยูโรที่ผันผวนมากในช่วงต้นปี 58 ทำให้ลูกค้าบางส่วนชะลอการสั่งซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์ อย่างไรก็ตามลูกค้าเริ่มกลับมาสั่งซื้อตามปกติแล้วตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 ประกอบกับราคาเหล็กที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าสั่งซื้อในปริมาณเพิ่มขึ้น
ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 134.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 166.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายและอัตราการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 1/59 นี้ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาที่ 30.6% จาก 20.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่าลงส่งผลดีต่อบริษัทในฐานะผู้ส่งออก ทำให้อัตราการทำกำไรดีขึ้น