นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 160.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.3 ล้านบาท หรือเติบโต 213.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีรายได้ 1,017.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 321.5 ล้านบาท คิดเป็น 46.2% จากงวดเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ ยอดขายในประเทศมีอัตราการเติบโตประมาณ 16.5% จากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มชาวจีน เช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 85.2% โดยตลาดใหญ่ยังคงเป็นประเทศจีนที่บริษัทได้ทำเริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/58 และได้แต่งตั้งผู้นำเข้าในจีน 2 รายเป็นผู้แทนจำหน่าย ในช่วงไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมา
“ตลาดในต่างประเทศที่บริษัทมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีน ทำให้ช่องทางการจัดจำหน่ายมีความแข็งแกร่งมากขึ้น สำหรับตลาดในประเทศก็ถือว่ามีการเติบโตจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน ตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศฟื้นตัว โดยเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเป็น 67% ในปีนี้ด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีกระบวนการปรับลดอัตราสูญเสียวัตถุดิบ โดยการปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูง ตลอดจนการบริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายให้ต่ำลงที่ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจ"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ 55% เพิ่มขึ้นจาก52% ในปีก่อน ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการจำหน่ายในประเทศ
นายอิทธิพันธ์ กล่าวว่า บริษัทยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเพิ่มทางเลือกให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน และกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการออกสินค้ารสชาติใหม่ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนประชาสัมพันธ์สินค้า และกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึงการทำตลาดออนไลน์ ให้ครอบคลุมมากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางออนไลน์ที่ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนในปัจจุบัน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของสินค้าเถ้าแก่น้อยได้รับรู้ข่าวสารของบริษัทได้มากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ณ สวนอุตสาหกรรมโรจนะ โดยงานก่อสร้างมีความคืบหน้ากว่า 70% และคาดว่าจะเปิดดำเนินการในช่วงต้นปี 60 ส่งผลให้กำลังผลิตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว สอดคล้องกับเป้าหมายของเถ้าแก่น้อยที่ต้องการเป็นแบรนด์ชั้นนำในระดับเอเชีย และโกลบอลแบรนด์ตามแผนที่วางไว้