(เพิ่มเติม) TNITY ตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20%,คาดปี 59 กำไรโต 10-15%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 11, 2016 17:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการ บมจ.ทรีนีตี้ (TNITY) และกรรมการอำนวยการของบล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า เป้าหมายการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะใช้กลยุทธ์ในการรักษาและขยายฐานลูกค้าโดยนำเสนอบทวิเคราะห์ในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการในการลงทุนของลูกค้าที่มีอย่างหลากหลาย และมีข้อจำกัดของเงินลงทุนที่แตกต่างกัน และบริษัทยังคงดำเนินนโยบายกระจายฐานรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นว่ารายได้ค่านายหน้าของบริษัทมีสัดส่วนอยู่ที่ 40% ของรายได้รวม ซึ่งแตกต่างจากบริษัทหลักทรัพย์อื่นที่ยังคงมีสัดส่วนรายได้ค่านายหน้าในระดับสูงประมาณ 70-80%

อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของบริษัท ด้วยการสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20% โดยวางกลยุทธ์ในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร มีเป้าหมายจะเพิ่มลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) อีก 20% เป็น 480 ราย จาก 400 รายในปีก่อน

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด โดยบริษัทสามารถจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่น้อยกว่า 8% สำหรับปี 58 บริษัทจ่ายปันผลในอัตรา 0.60 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราจ่ายเงินปันผลตอบแทน 9.84% ติด 1 ใน 10 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลตอบแทนสูง

นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ปี 59 บริษัทคาดกำไรสุทธิจะสูงขึ้น 10-15% จาก 146 ล้านบาทในปี 58 จากการที่บริษัทมุ่งหาฐานรายได้ที่สม่ำเสมอมากขึ้น ทั้งรายได้จากการลงทุน ,ดอกเบี้ย, การบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยจะพยายามไม่พึ่งพารายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มากเกินไป

ปีนี้เตรียมงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท สำหรับมองหาโอกาสการเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบของเวนเจอร์ แคปปิตอล (VC) บริษัทเกิดใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจหรือพวก Startup เพื่อขยายการลงทุนเป็นในรูปแบบการลงทุนระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาหลายดีลแต่ยังไม่มีข้อสรุป โดยเบื้องต้นมองโอกาสในตลาดนี้มีมากพอควรซึ่งขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส ปัจจุบันบริษัทมีวงเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) 2,400 ล้านบาท ถ้ามีแหล่งเงินเพียงพอปีนี้อยากจะเพิ่มเป็น 2,800-3,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) มากกว่า 2% เพิ่มขึ้น 10% จากปี 58 ที่ 1.95% โดยไตรมาส 1/59 ทำได้แล้ว 2% และคาดว่าปีนี้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 4.5-5 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 4.4-4.5 หมื่นล้านบาท

"เป้ามาร์เก็ตแชร์ที่ 2% ใกล้เคียงปีก่อนหรือเพิ่มขึ้น 10% สิ่งที่สำคัญคือเราพยายามรักษาอัตราค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยที่ 0.18-0.19% ในแต่ละปี ให้ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมที่ 0.20% โดยเรายังเน้นการให้คำแนะนำกับลูกค้าเพราะมองว่ามีมูลค่ามากกว่าเรื่องคอมฯ ปีก่อนที่มาร์เก็ตแชร์ลดลง เพราะเราไม่ลงไปเล่นเรื่องราคาอัตราค่าคอมมิชชั่น ทำให้มาร์เก็ตแชร์ลดลง แต่รายได้ไม่ลด"นายชาญชัย กล่าว
นายชาญชัย กล่าวว่า ขณะที่มองภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมมีความรุนแรงขึ้นทุกปี ตั้งแต่เปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น และปีนี้ก็มีโบรกเกอร์รายใหม่เข้ามา ซึ่งภาพรวมการแข่งขันรุนแรงอยู่แล้วทำให้บริษัทไม่ได้มีความกังวลเพิ่มเติม

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจาก รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ 48.26%,รายได้จากการลงทุน 23.3% เช่น มาร์เก็ตเมคเกอร์ เดย์เทรด การเก็งกำไรส่วนต่างของราคาหุ้น ซึ่งรายได้พวกนี้เริ่มมั่นคงและสม่ำเสมอมากขึ้น,รายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมหลักทรัพย์ 17% รายได้จากการบริหารและการหากองทุนส่วนบุคคล 4.6% และรายได้จากธุรกิจที่ปรึกษาฯ 4%

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ ของบล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า มุมมองตลาดหุ้นไทยปีนี้คาด sideway ในกรอบกว้าง บริเวณ1,200-1,530 จุด บนช่วงระดับ PE 12-15 เท่า อิงสมมติฐานกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SET Index ปี 59 ที่ 94 บาท/หุ้น ซึ่งคาดว่าจะถูกปรับประมาณการลงต่อ และ SET Index ให้ผลตอบแทน 12.38% ในแง่ของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง SET Index ถือว่าเป็นดัชนีที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลกคือระดับ 12.38% นับตั้งแต่ต้นปี (4 เดือน) ทั้งนี้ มองดัชนีที่ 1,250 จุด เมื่อก.พ.59 เป็นระดับต่ำสุดของปีไปแล้ว

การเติบโตทางกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปีนี้จะอยู่ที่กว่า 20% หรือกำไรต่อหุ้น ที่ 93.6 บาท ซึ่งมาจากฐานกำไรที่ต่ำในปี 58 และ 57 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ถูกลงและค่าเงินบาทที่อ่อนลงทำให้หลายบริษัทมีการตั้งส่วนชดเชยความเสียหายดังกล่าว ทำให้กำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทยถดถอยกว่า 16% ในปี 57-58

ทิศทางของเงินทุนไหลเข้า (fund flow) จะขึ้นกับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ราคาน้ำมันดิบ และการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ โดยในครึ่งปีหลังคาดการณ์ระดับอุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลกจะปรับตัวเข้าสู่สมดุลมากขึ้น ราคาน้ำมันได้ทำจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 1 ซึ่งมองราคาน้ำมันอาจฟื้นกลับมาที่ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลภายในสิ้นปีนี้

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยภายในประเทศคาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาบที่ 1.5% ตลอดปี เพราะแนวโน้มเงินเฟ้อจะยังไม่เร่งตัวขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ