นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตอย่างน้อย 10-12% จากปีก่อนมา ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท หลังมองความต้องการสินค้าเฟอร์นิเจอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศขยายตัว ขณะที่ยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในอเมริกาเพื่อดำเนินธุรกิจร่วมกันด้วย รวมถึงยังมีแผนจะเข้าร่วมประมูลผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รัฐบาลกำลังจะเปิดให้ยื่นข้อเสนอในกลางเดือนมิ.ย.นี้ด้วย
"ทิศทางธุรกิจไตรมาส 2/59 บริษัทมองว่าจะยังคงเติบโตอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากแนวโน้มความต้องการสินค้าเฟอร์นิเจอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศขยายตัว ส่วนเป้าหมายการเติบโตทั้งปี 59 ของ ECF เชื่อมั่นว่าจะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายโตอย่างน้อย 10-12% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านบาท"นายอารักษ์ กล่าว
นายอารักษ์ กล่าวว่า สำหรับในไตรมาส 1/59 บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 383.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 24.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารามียอดขายเติบโตสูงขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีคำสั่งซื้อของลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ ลูกค้าประเทศญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 64% ภายในประเทศ 36% โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นญี่ปุ่น ซึ่งในปีนี้บริษัทยังสามารถจัดหาลูกค้ารายใหม่ ๆ ในญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
"ตลาดต่างประเทศมีสัญญาณการเติบโตที่ดี โดยกลุ่มลูกค้าหลักในญี่ปุ่นมีปริมาณการสั่งซื้อมากขึ้น และมีลูกค้ารายใหม่เพิ่ม ซึ่งบริษัทได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยความร่วมมือกับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในอเมริกา เพื่อดำเนินธุรกิจร่วมกัน" นายอารักษ์ กล่าว
นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดในประเทศบริษัทมีแผนขยายสาขาแบรนด์ ELEGA จำนวน 3 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 17 สาขา สาขาแบรนด์ FINNA HOUSE เพื่อจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ DISNEY เพิ่มขึ้น 2 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 4 สาขา และขยายการจำหน่ายในกลุ่มโมเดิร์นเทรด อาทิ โลตัส โฮมโปร เมกาโฮม และดูโฮม ตามการเพิ่มขึ้นของสาขาของกลุ่มโมเดิร์นเทรดดังกล่าว
ด้านธุรกิจร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน (60 บาท) “Can Do" จากประเทศญี่ปุ่น มีกระแสตอบรับที่ดี ภายหลังจากเปิดสาขาไปแล้วจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก และโฮมโปร รัตนาธิเบศร์ ซึ่งการขยายสาขาจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา เน้นการเปิดในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองขนาดใหญ่ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายของร้านได้อย่างหลากหลาย
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งลงทุนโดยบริษัท อีซีเอฟ โฮลดิ้งส์ จำกัด (ECFH) บริษัทย่อยของ ECF ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าร์ฟาร์ม) ECF-Tornado Energy GK กำลังการผลิต 1.5 เมกะวัตต์ ณ เมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่น ภายหลังจากจ่ายไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.58 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้บริษัทเริ่มรับรู้กำไรจากโครงการดังกล่าวแล้ว อีกทั้งอยู่ระหว่างศึกษาแผนเข้าลงทุนโครงการโซล่าร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติม หากมีโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีและคุ้มค่ากับการลงทุน บริษัทก็สนใจที่จะเข้าลงทุนเช่นกัน
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมตัวเพื่อเข้ายื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 36 เมกะวัตต์ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งภาครัฐจะเปิดให้เข้ายื่นประมูลได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.59 เป็นต้นไป