นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้ายอดโอนทั้งปีอีก 0.4% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนหน้าอยู่ระหว่าง 15,000-16,000 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 1/59 กำหนดภายในช่วง 3 ปีข้างหน้าจำนวนกว่า 38,500 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 3.7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58
"บริษัทมีภาพรวมการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากตัวเลขรายได้ และกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับในปี 2559 ถือเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน (Harvest Period) ตั้งแต่เงินลงทุนจาก IPO ที่นำมาพัฒนาโครงการและมีการเปิดขายไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการก่อสร้างได้แล้วเสร็จ และเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยจะเริ่มสร้างผลตอบแทนจากยอดโอนในปี 59 จำนวน 5 โครงการ"นายชานนท์ กล่าว
ในไตรมาส 1/59 บริษัทเปิดตัวคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า 2 โครงการใหม่อย่างเป็นทางการได้แก่ โครงการ แอชตัน สีลม ตั้งอยู่บนถนนสีลม มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขาย 59.3% และโครงการไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ห่างจากรถไฟฟ้า MRT ท่าพระ เพียง 100 เมตร มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขายได้ 28% จากมูลค่าที่เปิดขายกว่า 1,500 ล้านบาท
ประกอบกับยอดขายจากโครงการที่เปิดขายก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายในไตรมาสแรกได้กว่า 4,800 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งนี้ ในไตรมาสแรก บริษัทสร้างยอดขายได้ 23% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 11 โครงการ ตามเป้าหมาย ซึ่งโครงการที่ได้เปิดตัวไปแล้วนั้นได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า แสดงให้เห็นว่าความต้องการที่พักอาศัยในระดับราคาทุกประเภทยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการที่คุ้มค่า คุณภาพดี ทำเลใกล้รถไฟฟ้า
ไตรมาส 1/59 บริษัทมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,179 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายถึง 34% และเพิ่มขึ้นถึง 81% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58 พร้อมทั้งมีกำไรสุทธิ 149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 102% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58
บริษัทสร้างอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 6% เพิ่มขึ้นจาก 5% ในช่วงเดียวกันของปี 58 และสามารถสร้างรายได้ดีกว่าเป้าหมาย จากการที่บริษัทได้เริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียม ไอดีโอ คิว ราชเทวี ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนได้เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ บริษัทได้สร้างผลกำไรสุทธิที่ดีกว่าเป้าหมาย จากการควบคุมต้นทุน โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ ลดลงจาก 28% ในไตรมาสเดียวกันของปี 58 เป็น 24% ในไตรมาสนี้
"ถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ายังคงมีอัตรายอดขายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งรูปแบบการพักอาศัยก็มีการปรับเปลี่ยนจากการอยู่อาศัย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ มาเป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่สามารถตอบโจทย์และสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ ได้อย่างดีที่สุด"นายชานนท์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับเพียง 0.8:1 ณ สิ้นไตรมาส 1/59 และมีกระแสเงินสดที่มั่นคงและแข็งแกร่ง พร้อมมีเงินสดเกินกว่า 2,800 ล้านบาท