นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะดีขึ้นจากปีก่อน โดยมีเป้าหมายรายได้จากการขายเติบโตประมาณ 10-15% และมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น
"ปีนี้ CPF จะกลับมามีผลประกอบการที่ดี แม้ว่าเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในประเทศจะไม่ดี แต่ธุรกิจของ CPF ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ...ตอนนี้ผมยังดูเป็นบวก ยอดขายปีนี้จะทำนิวไฮ"นายอดิเรก กล่าว
ทั้งนี้ เป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์หลัก 2 ด้าน ได้แก่ กลยุทธ์การขยายตลาดไปยังประเทศที่มีโอกาสและศักยภาพในการขยายตัวของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และอาหาร ซึ่งมีเป้าหมายในการผลิตและจำหน่ายในประเทศนั้น ๆ เป็นหลัก โดยบริษัทจะพิจารณาการลงทุนใน 2 รูปแบบ ทั้งขยายธุรกิจเอง (Organic Growth) และการเข้าไปซื้อกิจการ (Merger & Acquisition) ซึ่งการขยายกิจการไปต่างประเทศนี้จะเป็นส่วนสำคัญหลักในการผลักดันการเติบโตของบริษัทในอนาคต
สำหรับกลยุทธ์ที่สอง คือการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเติบโตจากกิจการในประเทศเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ลงทุนในธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นในทุกประเทศที่บริษัทได้เข้าไปลงทุน
นายอดิเรก คาดว่า ยอดขายในไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ปีนี้มีแนวโน้มจะดีกว่าไตรมาสแรกที่มียอดขาย 1.05 แสนล้านบาท เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 3,764 ล้านบาท เติบโต 27% จากไตรมาส 1/58
บริษัทเชื่อว่าปัจจัยบวกจะยังคงดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับลดลง เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง ประกอบกับภาวะราคาเนื้อสัตว์ดีขึ้นทั้งราคาเนื้อหมูและเนื้อไก่ อีกทั้งการเลี้ยงกุ้งในปีนี้กลับมาดีขึ้นหลังจากที่ 3 ปีที่แล้วต้องเผชิญกับโรค EMS ทำให้เกิดผลขาดทุน และธุรกิจที่ CPF ลงทุนในต่างประเทศได้สร้างผลตอบแทนกลับมาเห็นชัดเจน ซึ่งระบุว่ากำไรที่ได้มาจากธุรกิจในต่างประเทศเป็นหลัก
ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีนี้คาดว่าสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศจะมากขึ้น เป็น 70% จาก 60% ในปัจจุบัน ส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 40%(ส่งออก 6%) มาลดเหลือ 30% เนื่องจากตลาดต่างประเทศที่ CPF ลงทุน 13 ประเทศมีประชากรรวมกว่า 3 พันล้านคนมีการขยายตัวมากกว่า ขณะที่ตลาดในประเทศมีประชากรเพียง 60 ล้านคน
นายอดิเรก กล่าวว่า การเติบโตของ CPF นอกจากจะมาจากการขยายธุรกิจเองที่เน้นทำสินค้าครบวงจรแล้ว และยังเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการอยู่ 2-3 รายในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจสัตว์บกและสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถจะได้ข้อยุติได้ทันในสิ้นปีนี้ เพราะต้องใช้เวลาหลังจากทำ Due diligence หรือตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อประเมินมูลค่ากิจการ ต้องดูเรื่องข้อกฎหมาย และการต่อรองราคากันอีก
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีนี้ (ปี 59-63) รวมจำนวน 5 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยลงทุนปีละ 1 หมื่นล้านบาท ไม่รวมดีลซื้อกิจการ โดยปี 59 คาดว่าจะใช้งบ 1 หมื่นล้านบาท แบ่งลงทุนในประเทศ 30% ซึ่งรวมการลงทุนโรงงานผลิตซอสเครื่องปรุง และโรงงานอาหารสำเร็จรูปสำหรับผู้ป่วย คนชรา และเด็ก ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 700 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ ส่วนอีก 70% ลงทุนในต่างประเทศ อาทิ การขยายกำลังการผลิตฟาร์มเลี้ยงหมูในรัสเซีย เป็นต้น
ด้านนายไพศาล จิระกิจเจริญ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน CPF กล่าวว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในช่วง 5 ปีจะเติบโตในอัตราเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อปี และคาดว่าในปี 63 ยอดขายจะแตะที่ 7 แสนล้านบาท เทียบจากปี 58 ที่มียอดขาย 4.26 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาทอายุ 10 ปีขึ้นไปในช่วงครึ่หลังเพื่อนำไปขยายธุรกิจ หลังจากที่เพิ่งออกหุ้นกู้ วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาทเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ที่นำไปรีไฟแนนซ์ และขยายธุรกิจ โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.1 เท่า นอกจากนี้บริษัทยังมีกระแสเงินสดกว่า 2 หมื่นล้านบาท และกำไรในแต่ละปีที่ได้รับ ดังนั้นแหล่งเงินเหล่านี้จะเพียงพอในการขยายธุรกิจในช่วง 5 ปีนี้