นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย ลีสซิ่ง (MTLS) คาดว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/59 จะสูงกว่าไตรมาส 1/59 และช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งการเติบโตของการปล่อยสินเชื่อและกำไรสุทธิ โดยการเติบโตของสินเชื่อจะมาจากการที่มีลูกค้าเข้ามาขอสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นในช่วงเปิดเทอมที่ผู้ปกครองต้องนำเงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับบุตรหลาน ประกอบกับ ในช่วงสงกรานต์ที่มีลูกค้าบางกลุ่มกู้ยืมไปเพื่อสังสรรค์
“การปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 2 นี้เราก็คาดว่าปล่อยได้เพิ่มมากขึ้นกว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมาที่เราปล่อยไปประมาณ 6.9 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่ายอดปล่อยจะทะลุ 7 พันล้านบาทอย่างแน่นอน เพราะว่าไตรมาส 2 เป็นช่วงเปิดเทอม ที่ผู้ปกครองต้องการใช้เงินมาก และสงกรานต์ที่ผ่านมามีการเลี้ยงสังสรรค์กันก็มีการกู้ยืมเงินกับเราในส่วนนี้"นายชูชาติ กล่าว
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/59 มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ปล่อยใหม่อยู่ที่ 86.39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 11.81% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/59 ส่วนกำไรสุทธิเติบโต 54.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 16.63% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/59
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของผลการดำเนินงานในปี 59 เติบโตไม่ต่ำกว่า 50% ซึ่งผลักดันรายได้และกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ การขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยในสิ้นปีนี้จะสาขาทั้งสิ้น 1,350 สาขา จากสิ้นไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 1,114 สาขา
ขณะที่พอร์ตสินเชื่อคงค้างไตรมาส 1/59 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.44 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่ 1.26 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าจะเพิ่มอีก 50% ในปีนี้ โดยปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อของบริษัท แบ่งเป็น สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 55.5% สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 39.56% และสินเชื่ออื่นๆ 4.94%
นายชูชาติ กล่าวถึงบริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่เปิดตัวไปในช่วงปลายปี 58 ว่า ได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยในไตรมาส 1/59 มียอดปล่อยสินเชื่อใหม่กว่า 110 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 29.5% ต่อปี ถือว่าต่ำสุดในระบบ และต่ำกว่าที่ทางการกำหนดอัตราสูงสุด 36% ต่อปี เนื่องจากบริษัทต้องการช่วยเหลือคนในระดับรากหญ้าที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และบริษัทยังมั่นใจว่ายอดปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 500 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อที่ดินของบริษัทได้ปล่อยไปแล้วในไตรมาส 1/59 ที่ 580 ล้านบาท
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าคุมไว้ไม่ให้เกิน 1% โดยไตรมาส 1/59 ระดับ NPL อยู่ที่ 0.9% และแนวโน้มไตรมาส 2/59 คาดว่าจะยังทรงตัว แม้ว่าปัจจุบันสถาการณ์เศรษฐกิจจะยังไม่ดี และราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของลูกค้ากลุ่มหลักของบริษัทบ้าง แต่ที่ผ่านมายังไม่เห็นสัญญาณของการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้ามากขึ้น และพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกค้าเริ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ เพราะหากลูกค้าผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมาก็ทราบดีว่าต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนแนวโน้มการตั้งสำรองของบริษัทในไตรมาส 2/59 มีโอกาสที่จะตั้งสำรองเพิ่มมากขึ้นกว่าไตรมาส 1/59 ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น
ด้านแผนการรุกขยายสาขาในต่างประเทศเพื่อเข้าไปปล่อยสินเชื่อในต่างประเทศนั้น บริษัทได้เข้าไปศึกษาตลาดในประเทศพม่าและเวียดนามมาก่อนหน้านี้ โดยตลาดที่พม่าบบริษัทมองว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเข้าไปทำตลาดเป็นประเทศแรกในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันนั้นไม่ต้องร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น ทำให้มีความคล่องตัว อีกทั้งสะดวกในการทำธุรกิจและการเข้าไปตั้งสาขาค่อนข้างมาก และความต้องการสินเชื่อในพม่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะต้องศึกษาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอย่างดีก่อนเข้าไป
ส่วนตลาดในประเทศเวียดนามหากบริษัทจะรุกเข้าไปปล่อยสินเชื่อนั้นจะต้องหาพันธมิตรท้องถิ่นร่วมทุนจัดตั้งบริษัทถึงจะสามารถดำเนินธุรกิจและตั้งสาขาได้ ทั้งนี้การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเป็นโอกาสหนึ่งที่บริษัทสนใจ แต่ยังไม่รีบร้อน เพราะตลาดในประเทศไทยยังมีการเติบโตที่ดีอยู่อย่างต่อเนื่อง และยังมีดอกาสอีกมากในการขยายตัว
นายชูชาติ กล่าวว่า แผนการระดมทุนในอนาคตนั้นบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการออกตั๋วกู้เงินระยะสั้นที่ขอจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมาวงเงิน 5 พันล้านบาท และการออกหุ้นกู้ที่ได้รับอนุมัติวงเงินจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมาที่ 1.5 พันล้านบาท รวมทั้งอาจจะมีการกู้เงินระยะยาวจากสถาบันการเงินบางส่วน ซึ่งหากจะออกหุ้นกู้ในปีนี้บริษัทคงต้องดูความต้องการของนักลงทุนก่อน และดูระยะเวลาที่เหมาะสม ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลานั้นก่อน