นางสาวสุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แม็คกรุ๊ป (MC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทยังเน้นการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผ่านร้านค้าปลีกของตนเองเป็นสำคัญ และได้สร้างสรรค์รายการส่งเสริมการขายที่น่าสนใจและแปลกใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อความสนุกและคุ้มค่าแก่ลูกค้า รวมถึงการนำเสนอสินค้าประเภทเสื้อผ้าท่อนบนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีนำสมัย ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการบริหารจัดการระบบ Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1/59 บริษัทมียอดขาย 1,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.1% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารช่องทางจัดจำหน่ายอย่างมีประสิทธิภาพและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 202 ล้านบาท เติบโต 3.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 58
“รายได้จากการขายของบริษัทมีการเติบโตอย่างน่าพอใจ โดยเพิ่มขึ้นถึง 28.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมีทั้งการเพิ่มจุดขาย การขยายพื้นที่ของจุดขายที่ทำรายได้ดี การตกแต่งร้านให้ทันสมัย ตลอดจนการปิดจุดขายที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายรายสัปดาห์โดยเน้นที่ร้านค้าปลีกของตนเอง ส่งผลให้บริษัททำสถิติอัตราการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมเพิ่มขึ้นถึง 27.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 บริษัทมีจุดจำหน่าย 863 แห่ง ลดลงจากสิ้นปี 58 ทั้งสิ้น 3 แห่ง จากการลดจุดจำหน่ายในประเทศลง 4 แห่งและเพิ่มจุดจำหน่ายที่ต่างประเทศ 1 แห่งที่ประเทศเมียนมาร์"นางสาวสุณี กล่าว
นางนฤมล สิงหเสนี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ MC กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมส่งเสริมการขายที่จัดขึ้นทุกสัปดาห์มีเป้าหมายในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคและคืนกำไรให้แก่ลูกค้า และยังช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งแม้จะมีอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมจะลดลงเป็น 51.8% จาก 56.1% ของไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่บริษัทสามารถลดจำนวนเดือนของสินค้าคงคลังได้อย่างน่าพอใจ
จากการที่อัตราการเติบโตของยอดขายขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเติบโตของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้จากการขายรวม ปรับลดลงมาอยู่ที่ 32.5% จาก 35.1% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน