นายภูมิชาย วัชรพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น (MATCH) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 59 มีทิศทางดีขึ้นจากปี 58 เนื่องจากปีก่อนบริษัทฯได้รับปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ อีกทั้งผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย แต่ในปีนี้ผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ทำให้บริษัทฯมีรายได้เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากไตรมาส 4/59 จะเริ่มทยอยเปิดให้บริการสตูดิโอใหม่ ภายใต้ชื่อ MMS STUDIO PARK Suwannabhumi ซึ่งนอกจากจะทำให้บริษัทฯมีรายได้จากค่าเช่าสตูดิโอและค่าเช่าอุปกรณ์รวมถึงทีมงานการถ่ายทำแล้ว ยังจะช่วยให้บริษัทประหยัดค่าเช่าในส่วนของสำนักงาน บริษัท เกียร์เฮด จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านอุปกรณ์ด้านการถ่ายทำภาพยนตร์รวมถึงทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญรายใหญ่ของอาเซียน เนื่องจากได้เริ่มก่อสร้างสำนักงานใหญ่ของ “เกียร์เฮด" ภายในพื้นที่ MMS STUDIO PARK Suwannabhumi ด้วยเช่นกัน"นายภูมิชายกล่าวในที่สุด
สำหรับ MMS STUDIO PARK Suwannabhumi ตั้งเป้าว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายในต้นปี 60 ซึ่งเบื้องต้นน่าจะทยอยเปิดให้บริการได้บางส่วนตั้งแต่เดือน พ.ย.ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปกว่า 30% และทีมการตลาดได้เริ่มออกไปหาลูกค้า ทำให้ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด และเราก็จะมุ่งเน้นทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นสตูดิโอแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้มาตรฐานการถ่ายทำภาพยนตร์ในระดับเดียวกับ Universal ประกอบด้วยสตูดิโอ 5 อาคาร โดยทุกอาคารมีผนังแบบป้องกันเสียงรบกวน หรือ NC25 ที่มีความเงียบได้มาตรฐานของการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างชาติ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนตามที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างชาติต้องการและยังมีพื้นที่ว่างให้เช่าสำหรับทำฉากกลางแจ้ง จึงถือเป็นสตูดิโอที่ตอบโจทย์ผู้สร้างภาพยนตร์มากที่สุดในขณะนี้
นายภูมิชาย กล่าวอีกว่า หลังจากที่บริษัทได้วางแผนทางธุรกิจใหม่ในปี 59 โดยได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ที่ลงลึกในรายละเอียดของแต่ละธุรกิจให้มากขึ้น โดยเฉพาะได้ทำการขายธุรกิจในกลุ่มที่ไม่ทำกำไรออกไป ส่งผลให้ในไตรมาส 1/59 บริษัทมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ
ในส่วนของรายได้รวมอยู่ที่ 164.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากธุรกิจให้บริการและให้เช่าอุปกรณ์ในการถ่ายทำและธุรกิจ Post Production ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนจากการขายและบริการอยู่ที่ 103.84 ล้านบาท ลดลงกว่า 9.04 ล้านบาท หรือลดลง 8.01% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังลดลงกว่า 4.34 ล้านบาท หรือลดลง 8.21% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 6.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.12 ล้านบาทหรือ เพิ่มขึ้นคิดเป็นอัตรา 204.42% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน