นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ารายได้จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโซลาร์ฟาร์มที่รับรู้รายได้เต็มปีคิดเป็นเงินประมาณ 40-50 ล้านบาทปีนี้เป็นปีแรก หลังจากที่บริษัทฯได้ขยายการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้ารายรับเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีเป้ารายได้ 3,500 ล้านบาท และมีเป้าขาย 4,500 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 1/59 มียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท และบริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) เกือบ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ราว 2,000 ล้านบาท รวมถึงการนำบ้านเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ จำนวน 1,000 ยูนิต มูลค่า 1,500 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
ขณะเดียวกันยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,390 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 2,810 ล้านบาท ได้แก่ เสนาวิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 เสนาพาร์ควิลล์ รามอินทรา-วงแหวน เสนาพาร์ค ทาวน์ รามอินทรา-วงแหวน PCC New Residence ซึ่งทุกโครงการได้สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งจากการติดแผงโซลาร์ทุกยูนิตเพื่อช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/59 บริษัทฯได้เปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการเสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา-วงแหวน และโครงการเสนาวิลล์ บรมราชชนนี-สาย 5 ทั้ง 2 โครงการเป็นหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิด “Solar Smart Village" โดยออกแบบการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งจากในตัวบ้านแต่ละหลัง และผลิตไฟฟ้านำมาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าส่วนกลางได้อย่างยั่งยืน โดยบริษัทตั้งเป้าติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป มีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี โดยบริษัทได้ก่อตั้งบริษัทเสนา โซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด เพื่อดูแลตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ติดตั้ง และให้บริการดูแลหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป
ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 1/59 เติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 362 ล้านบาท หรือ 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77 ล้านบาท หรือ 101% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมียอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น โดยมีโครงการ The Niche Mono รัชวิภา มูลค่าโครงการกว่า 2,346 ล้านบาท ที่เริ่มโอนตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2559
นอกจากนี้ บริษัทฯยังเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโซลาร์ฟาร์มกำลังการผลิต 46.5 เมกะวัตต์ ที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 51% ซึ่งโครงการนี้ได้เริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ปลายปี 58 และในไตรมาส 1/59 จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก โดยได้รับส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุน 15 ล้านบาท
ส่วนโครงการ The Niche Mono รัชวิภา จะมีรายได้จากการโอนเข้ามาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในไตรมาส 2/59 และมีโครงการ The Niche เสรีไทย มูลค่าโครงการ 652 ล้านบาท ที่จะเริ่มโอนในช่วงปลายไตรมาส 3/59 ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับอานิสงส์จากโครงการบ้านประชารัฐของรัฐบาล ที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทฯ มีโครงการที่พร้อมขายเข้าข่ายโครงการบ้านประชารัฐกว่า 1,500 ล้านบาท