นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บมจ. ฐิติกร (TK) เปิดเผยว่า บริษัทได้ออกหุ้นกู้จำนวน 600,000 หน่วย มูลค่าหน่วยละ 1,000 บาท มูลค่ารวม 600 ล้านบาท อายุหุ้นกู้ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.15% โดยจำหน่ายในวันที่ 13 พ.ค.และเม็ดเงินจะเข้าบริษัทฯ ในวันที่ 16 พ.ค. นี้
“หุ้นกู้ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินสำคัญของ TK เพื่อระดมทุนสำหรับรองรับการขยายงานและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่ง TK ออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่ TK มีความเชื่อมั่นว่าตลาดรถมอเตอร์ไซค์จะเริ่มกลับมาขยายตัวในปีนี้ที่ 1,700,000 คัน TK เตรียมความพร้อม โดยได้เร่งตัดหนี้สงสัยจะสูญซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่องมา 2 ปี เพื่อรองรับการเติบโตในปี 59 จนถึงตอนนี้ TK พร้อมที่จะเติบโตอีกครั้งในปีนี้"นางสาวปฐมา กล่าว
นางสาวปฐมา กล่าวว่า ในภาวะดอกเบี้ยต่ำถือเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีที่ TK จะออกหุ้นกู้ครั้งนี้ ถือเป็นการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และจะทำให้ TK สามารถลดอัตราดอกเบี้ยต้นทุนเฉลี่ยลดลง โดยขณะนี้ TK มีต้นทุนการเงินที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.69% คิดเป็นสัดส่วนเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ 98.56% ของยอดเงินกู้ทั้งหมด
ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ของ TK เพื่อรองรับการขยายตัวของ TK ในปีนี้และอีก 2 ปี ข้างหน้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่ที่สำคัญคือ TK สามารถบริหารต้นทุนทางการเงินให้คงที่ สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจเช่าซื้อที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดสัญญา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ในครั้งนี้ที่ 2.15% ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมและสามารถรักษาระดับส่วนต่างของต้นทุนทางการเงินกับอัตราดอกเบี้ยที่ปล่อยให้กับลูกค้า
ด้านนายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ TK กล่าวเพิ่มเติมว่าการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ ถือเป็นการออกครั้งแรกของปีนี้ และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการออกหุ้นกู้ครั้งต่อไป โดยจะพิจารณาจากปัจจัยสภาพคล่องของการดำเนินงาน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
“หุ้นกู้ของ TK ถือว่าได้รับการตอบรับดีจากนักลงทุนสถาบันและรายใหญ่มาโดยตลอด ทั้งนี้เพราะความมั่นคงของ TK และธุรกิจที่เรารักษาระดับการแข่งขันไว้ได้ในระดับแนวหน้า จึงไม่มีความน่าเป็นห่วงในเรื่องความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและการไถ่ถอนคืน อีกทั้ง TK ยังได้รับการจัด Rating จาก TRIS Rating ที่ A-" นายประพลกล่าว
นายประพล กล่าวว่า ปัจจุบัน TK มีสัดส่วนเงินกู้ต่อสินทรัพย์ หรือ D/E Ratio อยู่ที่ 0.8 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจเดียวกันในตลาดที่มีสัดส่วนสูงถึง 8-9 เท่า