นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บมจ.โฮม พอตเทอรี่ (HPT) เปิดเผยว่า บริษัทลงนามในสัญญาร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศนิวซีแลนด์จัดตั้งบริษัท Central Hospitality จำกัด อย่างเป็นทางการ เพื่อจำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้และอุปกรณ์สำหรับโรงแรม ร้านอาหาร ทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน (AEC) โดยจะใช้เงินลงทุนจำนวน 30 ล้านบาท หรือ 75% ของทุนจดทะเบียนบริษัทใหม่มูลค่า 40 ล้านบาท
“พันธมิตรนิวซีแลนด์รายนี้เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการกระจายสินค้า และยังมาช่วยทำตลาดในไทยร่วมกันด้วย การที่เราร่วมทุนกันครั้งนี้ ทาง HPT และพันธมิตรมีแผนการขยายตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายร่วมกันเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโรงแรมและร้านอาหาร เสริมสร้างธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมๆกัน"นางสาวนิจวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศสำหรับกลุ่มลูกค้าครัวเรือนเป็นครั้งแรก โดยนำผลิตภัณฑ์เซรามิกไฟน์ไชน่าแบรนด์ PE’TYE วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล 7 สาขา อาทิ สาขาลาดพร้าว ชิดลม ปิ่นเกล้า เซ็นทรัลเวิลด์ พระราม2 พระราม 3 บางนา โดยเริ่มวางจำหน่ายเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และคาดว่าจะส่งผลทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่องทางดังกล่าว โดยบริษัทมีแผนจะขยายการช่องทางการจำหน่ายสำหรับกลุ่มลูกค้าครัวเรือนในส่วนห้างค้าปลีกเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
นางสาวนิจวรรณ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 15-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 115.12 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการจำหน่ายสินค้ามากขึ้นตามกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ประมาณ 30-35% และอัตรากำไรสุทธิที่ประมาณ 10-15%
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 บริษัทมองว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยภาพรวมอุตสาหกรรมเซรามิกในปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อาจไม่มากนัก ซึ่งดูจากสถิติการส่งออกไตรมาส 1/58 เทียบกับไตรมาส 1/59 เพิ่มขึ้นประมาณ 2%
ขณะที่สัดส่วนรายได้ในปัจจุบัน แบ่งเป็นต่างประเทศ 98% ซึ่งมีรายได้หลักมาจากประเทศ อเมริกา รองลงมา คือ ยุโรป และ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีก 2% เป็นสัดส่วนรายได้จากในประเทศและกลุ่ม AEC โดยบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ในประเทศและกลุ่มประเทศ AEC เพิ่มขึ้นเป็น 4% ในปี 60 เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยว และการโรงแรม ซึ่งประเทศที่สนใจได้แก่ ประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 1/59 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 25.18 ล้านบาท ลดลง 5.24 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมที่ 30.43 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.27 ล้านบาทเ ทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.51 ล้านบาท
รายได้ของบริษัทในไตรมาส 1/59 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากมีสินค้าระหว่างทางที่ส่งออกจากโรงงานแล้วแต่รอรับรู้รายได้มูลค่า 4.26 ล้านบาท และสินค้าสำเร็จรูปรอนำส่งออกอีก 4.08 ล้านบาทในช่วงต้นเดือน เม.ย. 59 สาเหตุที่ทำให้ส่งออกล่าช้า เนื่องจากมีออเดอร์สินค้าที่มีลักษณะดีไซน์หลากหลายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือ เช่น งานวาดสีต่างๆ ทำให้มีการเพิ่มขั้นตอน และมีความซับซ้อนในการผลิตมากขึ้น