นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 ว่า บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 30,276 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 1,193 ล้านบาท
เฉพาะในส่วนของบริษัทใหญ่มีกำไรสุทธิ 47 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.03 บาท ลดลงร้อยละ 96 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 141 ทั้งนี้ หากรวมกับส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมจะมีขาดทุนสุทธิ 25 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทวางแผนการบริหารจัดการที่ดีด้วยการสำรองผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปไว้จำหน่ายในช่วงหยุดซ่อมบำรุง 45 วัน จึงทำให้สามารถจำหน่ายน้ำมันได้อย่างเพียงพอกับความต้องการของลูกค้า ทั้งในส่วนของธุรกิจค้าปลีกและตลาดอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งการขยายตัวในตลาดอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปี 59 ธุรกิจโรงกลั่น มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 64,000 บาร์เรลต่อวัน จากการหยุดซ่อมบำรุงประจำปีตามแผน และกลับมากลั่นที่ระดับ 110,000 บาร์เรลต่อวัน มีค่าการกลั่นพื้นฐาน 5.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในไตรมาสนี้ปรับลดลงร้อยละ 25 จากปี 58 ที่ระดับ 40.68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 30.59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการผลิตน้ำมันดิบล้นตลาด ทำให้ขาดทุนจากการสต๊อกน้ำมัน (Inventory loss) 1,324 ล้านบาท
ด้านธุรกิจการตลาด มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 1,465 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีการลงทุนขยายสถานีบริการขนาดใหญ่ที่ทันสมัยเพิ่มขึ้น และทยอยปรับปรุงภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมันที่มีอยู่เดิม ปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น รวม 1,074 แห่ง มีค่าการตลาดรวมอยู่ที่ 0.93 บาทต่อลิตร มี EBITDA รวม 1,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ บริหารโดย บมจ.บีซีพีจี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้เข้าซื้อธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมดของกลุ่ม SunEdison รวม 164 เมกะวัตต์ ทำให้ปัจจุบันธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการแล้วมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 129 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นในประเทศไทย 118 เมกะวัตต์ และโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วในประเทศญี่ปุ่น 11 เมกะวัตต์ ทำให้มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้น สามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้ ส่งผลให้มี EBITDA รวม 628 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่า บีซีพีจี จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณไตรมาส 3/59
ขณะที่ธุรกิจไบโอฟูเอล มี EBITDA รวม 146 ล้านบาท และธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีปริมาณการจำหน่ายรวม 202,128 บาร์เรล มี EBITDA รวม 22 ล้านบาท นอกจากนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้ง บริษัท บางจากรีเทล จำกัด ในประเทศไทย เพื่อประกอบธุรกิจร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม โดย BCP ถือหุ้นร้อยละ 100 มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ซึ่งได้เรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท