กองทุน K-USA และ K-INDIA ผลงานเข้าเป้า
บลจ. กสิกรไทย โชว์จ่ายปันผลกองละ 0.30 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่ากว่า 222 ล้านบาท
ผู้ลงทุนเฮรับเงินพร้อมกัน 16 พ.ค.นี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯเผชิญกับความผันผวนตั้งแต่ต้นปีจากความกังวลในเศรษฐกิจจีน ส่งผลทำให้เกิดการขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ประกอบกับราคาน้ำมันที่ดิ่งลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงกลางเดือนก.พ. และปรับตัวขึ้นมากว่า 14% นับจากจุดต่ำสุดในช่วงต้นปี ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆอย่างยุโรปและญี่ปุ่น โดยแรงหนุนหลักมาจากการดำเนินมาตรการของธนาคารกลางในประเทศแกนหลัก อาทิ ธนาคารกลางยุโรปที่ได้เพิ่มเติมมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน ส่งผลดีต่อสภาพคล่องในตลาดและช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังคงชะลอการขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด ส่งผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีทิศทางอ่อนค่าลง และส่งผลดีต่อหุ้นโดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทส่งออก
ทั้งนี้จากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดในเดือนเม.ย. ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ ทำให้ตลาดส่วนใหญ่มองว่า FED น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในการประชุมรอบเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้ แต่ตลาดก็มองว่า FED ยังมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ 1-2 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งความไม่แน่นอนของจังหวะเวลาในการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะยังทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่อง
“สำหรับคำแนะนำในการเข้าลงทุน ในมุมมองของบลจ.กสิกรไทย มองว่าความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯมีค่อนข้างจำกัด ด้วยระดับราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขายอยู่ในระดับที่ใกล้เต็มมูลค่าและค่อนข้างแพง ประกอบกับอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มลดลงหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ผู้ลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังหากต้องการเข้าลงทุนเพิ่มเติม" นายนาวินกล่าว
ด้านตลาดหุ้นอินเดียในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี BSE100 สามารถปรับตัวเป็นบวก 4.24% เนื่องมาจากในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางอินเดียยังคงชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น ประกอบกับตัวเลขผลประกอบการในภาคธนาคารที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงในหมวดสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาตลาดโลก ทั้งนี้จากกลยุทธ์การลงทุนของกองทุนหลักที่มีการคัดเลือกหลักทรัพย์ได้อย่างเหมาะสม ส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกับตลาด โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 5.66% เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 6.02% (ข้อมูล ณ วันที่ 29 เม.ย. 2559)
ส่วนแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจของอินเดียในปีนี้ IMF คาดการณ์ตัวเลข GDP อยู่ที่ 7.5% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 7.3% ถือเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยปัจจัยสนันสนุนที่สำคัญมาจากมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจของอินเดีย อาทิ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการควบคุมเงินเฟ้อ และการปฏิรูปธุรกิจธนาคาร ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นอกจากนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 59 จากการที่ธนาคารกลางอินเดียมีมติดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 6.50% ซึ่งถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 54 จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของบลจ.กสิกรไทย คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้นยังมีความผันผวนต่อเนื่อง จากแรงกดดันเรื่องจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะส่งผลต่อเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศเกิดใหม่อย่างอินเดีย นอกจากนี้ด้วยระดับราคาหุ้นของอินเดียที่ปรับขึ้นมามากแล้ว ทำให้ Upside มีค่อนข้างจำกัด ผู้ลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังหากต้องการเข้าลงทุนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ บลจ. กสิกรไทย มีกำหนดจะจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 - 30 เมษายน 2559 และกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 - 30 เมษายน 2559 โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 222.62 ล้านบาท