นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/59 บริษัทฯยังคงมุ่งผลักดันตลาดส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV+I ซึ่งเป็นตลาดหลักของ DRT อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีศักยภาพการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะเมียนมาร์ที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่โดดเด่นมากในปีนี้ หลังมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยคาดว่ารายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังเมียนมาร์ในปีนี้จะมีโอกาสเติบโต 30-40% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนแนวโน้มตลาดในประเทศนั้น ประเมินว่ากำลังซื้อผู้บริโภคจะค่อยๆ ฟื้นตัว หลังจากราคาสินค้าการเกษตร อาทิ ยางพาราปรับตัวดีขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ และจะช่วยหนุนให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าที่มีผลให้เกิดความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างเพิ่มเติม รวมถึงบริษัทฯ จะมุ่งผลักดันสินค้าเข้าสู่ช่องทางร้านค้าวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ที่มีการขยายสาขาเพิ่มและผลักดันสินค้าเข้าสู่ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ เพื่อรองรับโอกาสในการขาย
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 บริษัทฯทำกำไรสุทธิ 129.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 95.39 ล้านบาท ขณะที่รายได้อยู่ที่ 1,109.92 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กำไรสุทธิของ DRT ที่เติบโตได้อย่างโดดเด่นนั้นมาจากตลาดส่งออกไปในกลุ่ม CLMV และ อินโดนีเซียที่ขยายตัวดีโดยเฉพาะตลาดในเมียนมาร์และ สปป.ลาว ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ตลาดส่งออกในไตรมาสแรกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18% จากเดิมที่มีสัดส่วนส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 16% ของยอดรวม ซึ่งถือว่าขยายตัวได้เร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากตลาดส่งออกเพิ่มเป็น 20% ภายในปี 61 หรือ 3 ปีข้างหน้า
ขณะที่ตลาดในประเทศในช่วงไตรมาสแรกพบว่ากำลังซื้อยังชะลอตัว แต่ DRT ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการปรับ Product Mix เพื่อผลักดันการขาย โดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นที่ดี เช่น กลุ่มไม้สังเคราะห์ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นและรักษาการเติบโตที่ดีของกำไรสุทธิ ขณะเดียวกันยังบันทึกกำไรพิเศษจากการขายที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกด้วย
"เราพอใจกับผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แม้โดยภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังชะลอตัว ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดวัสดุก่อสร้างค่อนข้างรุนแรง แต่เรายังสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและการทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ดี ส่งผลดีต่อกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพราะในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้ไม่นับรวมกำไรพิเศษจากการขายที่ดิน บริษัทยังทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน"นายสาธิต กล่าว