นายวาย ยัท ปาโก้ ลี รองผู้จัดการทั่วไป ด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) คาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 2/59 จะสูงกว่าไตรมาส 1/59 ที่บริษัทมีรายได้ 3.15 หมื่นล้านบาท และมีกำไร 1.23 พันล้านบาท เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจ แต่แนวโน้มของผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมากกว่าครึ่งปีแรกทั้งในแง่ของรายได้และกำไร เนื่องจากไตรมาส 3/59 เริ่มเข้าสู่ช่วงพีคซีซั่นต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4/59 แต่ในแง่ของกำไรจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าไปถือหุ้น 40% ในบริษัท อะแวนติ โฟรเซ่น ฟู้ดส์ ไพรเวท จำกัด ในประเทศอินเดีย ซึ่งกระบวนการเข้าถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวจะแล้วเสร็จในสิ้นไตรมาส 2/59
สำหรับปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายเติบโต 15-20% หรือมาอยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะเพิ่มเป็น 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 63 นอกจากนี้บริษัทคงมองหาโอกาสการเข้าซื้อกิจการต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องอาหารทะเลที่มีแบรนด์ติดตลาด ส่วนงบลงทุนในปีนี้ตั้งไว้อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท ใช้สำหรับการซื้อเครื่องจักรใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งมีเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.17 หมื่นล้านบาท
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 16% จากปีก่อนที่ 15.58% ซึ่งไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 15.51% โดยในปี 63 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 20% "ตอนนี้เรามองเห็นแนวโน้มธุรกิจอาหารแช่แข็งมีแนวโน้มเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับอาหารกระป๋อง ซึ่งเป็นการเติบโตมาจากไก่แช่แข็งในสหรัฐฯที่มีการเติบโตอย่างมาก โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ธุรกิจแช่แข็งอยู่ที่ 39% สัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารกระป๋อง 49% และสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์ 12% ส่วนในอนาคตบริษัทยังไม่ได้ประเมินได้ว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารแช่แข็งจะเพิ่มมาเป็นเท่าไร เนื่องจากบริษัทต้องการรักษาสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารกระป๋องไว้ให้ใกล้เคียงกับปัจจุบัน เพราะธุรกิจอาหารกระป๋องให้มาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจอาหารแช่แข็ง"นายวาย ยัท ปาโก้ ลี กล่าว