ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงรายได้ที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถ เงินปันผลจากการถือหุ้น 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และโอกาสในการได้รับสัญญาบริการเดินรถและซ่อมบำรุงสำหรับรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว
ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทและการมีสภาพคล่องจำนวนมากด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากแผนการลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนจำนวนมากและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่การขยายสู่ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเช่นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทจากความผันผวนของธุรกิจดังกล่าว
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจขนส่งมวลชน นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากธุรกิจขนส่งมวลชน ในขณะที่การลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่ม บริษัทยังไม่มีโอกาสในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในระยะสั้นจากการมีแผนลงทุนจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หากบริษัทประสบความสำเร็จในการลงทุนก็จะส่งผลดีต่ออันดับเครดิตของบริษัท
อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่ออัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายปรับตัวสูงกว่า 3.5 เท่าเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเกิดจากการก่อหนี้จำนวนมากในการลงทุน และ/หรือผลการดำเนินงานของกลุ่มปรับตัวลงอย่างมาก
BTS ก่อตั้งในปี 2511 ภายใต้ชื่อเดิมคือ บมจจ.ธนายง เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทกลายมาเป็นบริษัทโฮลดิ้งหลังจากที่ได้ซื้อกิจการของ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ในปี 2553 โดยในปี 2556 บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ได้จำหน่ายรายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตของระยะเวลาสัมปทานคงเหลือ (2556-2572) ให้แก่ BTSGIF มูลค่า 61 พันล้านบาท โดยที่บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ยังลงทุนถือหุ้น BTSGIF ในสัดส่วน 33.33%
ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจ 4 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจขนส่งมวลชน ธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจให้บริการ โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3.4 พันล้านบาทสำหรับปีงบประมาณ 2558 (เมษายน 2557-มีนาคม 2558) และ 2.3 พันล้านบาทสำหรับ 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 โดยที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทมาจากธุรกิจขนส่งมวลชน 60% และสื่อโฆษณา 40% ส่วนสัดส่วนจากธุรกิจอื่น ๆ ยังมีจำนวนน้อย
บริษัทดำเนินธุรกิจขนส่งมวลชนผ่านบริษัทย่อยคือบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ซึ่งให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายทั้งสายสีลมและสายสุขุมวิทภายใต้สัญญาบริการเดินรถและซ่อมบำรุงอายุ 30 ปีที่ว่าจ้างโดย บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกรุงเทพมหานคร
สำหรับธุรกิจสื่อโฆษณานั้น บริษัทขายโฆษณาและให้เช่าพื้นที่บนระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสโดยดำเนินการผ่านบริษัทย่อยคือ บมจ.วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) หรือ วีจีไอ นอกจากนี้ วีจีไอยังให้บริการสื่อโฆษณานอกบ้านโดยเฉพาะในอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครด้วย
สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทถือหุ้นสัดส่วน 35.6% ใน บมจ.ยู ซิตี้ และได้จัดตั้งพันธมิตรทางธุรกิจกับ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ในการร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใกล้กับระบบรถไฟฟ้า บริษัทยังมีรายได้ประจำจากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าอื่น ๆ เช่น สนามกอล์ฟ 1 แห่ง โรงแรม 3 แห่ง และอาคารสำนักงาน 1 แห่ง โดยการขยายสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัทเนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีความผันผวนและอ่อนไหวต่อการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
ในส่วนของธุรกิจให้บริการนั้น บริษัทให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบัตรเติมเงินแรบบิทและเป็นเจ้าของสาขาร้านอาหารจีนระดับสูงภายใต้ชื่อ Chef Man นอกจากนี้ ในปี 2558 บริษัทยังได้ร่วมกับ บมจ.อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) (AEONTS) ดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคด้วย
สถานะทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินปันผลจาก BTSGIF ที่มีความแน่นอนและสม่ำเสมอในขณะที่สัญญาบริการเดินรถและซ่อมบำรุงยังสร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้และมีอัตรากำไรที่ดีด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ รายได้จากการขายโฆษณาบนระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ในระหว่างปีงบประมาณ 2555-2558 รายได้จากธุรกิจหลักของบริษัทเติบโตอย่างมาก โดยรายได้จากสัญญาให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น 33% ต่อปี ส่วนรายได้จากการขายโฆษณาบนระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้น 17% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2557 รายได้ (ไม่รวมการดำเนินงานที่ยกเลิก) ของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 46% จากการรับรู้รายได้จากการขายคอนโดมิเนียม สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 รายได้ปรับลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเป็น 4,000 ล้านบาท เนื่องจากวีจีไอยกเลิกการให้บริการโฆษณาในร้านค้าปลีกสมัยใหม่
อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงแม้หลังจากที่บริษัทได้ขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตของระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสให้แก่ BTSGIF ไปแล้วก็ตาม โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 60% ในปี 2555 และปี 2556 แต่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 35%-40% ในปี 2557 และปี 2558 อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวลงสู่ระดับ 29% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านบริหารที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายไม่ประจำ
บริษัทมีสถานะทางการเงินที่ดีภายหลังจากการจัดตั้ง BTSGIF โดยเงินกู้รวม (รวมสัดส่วนเงินกู้จากการร่วมทุน) ปรับตัวลดลงจาก 26,844 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 7,729 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจากระดับ 42.1% ในปี 2555 เป็น 13.4% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะเพิ่มสูงขึ้นตามแผนการลงทุนของบริษัทในโครงการขนส่งมวลชนหลายโครงการและธุรกิจอื่น ๆ โดยบริษัทมีแผนลงทุนจำนวน 16,000 ล้านบาทในระหว่างปี 2560-2563 นอกจากนี้ บริษัทยังมีการตั้งงบประมาณจำนวน 7,500 ล้านบาทสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และจำนวน 4,750 ล้านบาทสำหรับธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคอีกด้วย ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับประมาณ 30%-35% ในระหว่างการลงทุน
บริษัทมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 1,918 ล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 41.8% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) และ 12.8 เท่าตามลำดับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 1,827 ล้านบาทรวมถึงหลักทรัพย์เพื่อค้าและหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวน 13,209 ล้านบาท บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 11,480 ล้านบาท โดยบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 3,076 ล้านบาทและมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 2,415 ล้านบาท