นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล (KOOL) กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตราว 40% จากปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสแรกสามารถทำรายได้เติบโตกว่า 60% แล้ว ขณะที่มองในไตรมาส 2/59 ผลการดำเนินงานทั้งรายได้และกำไรสุทธิ ก็น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากสภาวะอากาศที่ร้อน ส่งผลให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นมาก โดยบริษัทจะพิจารณาทบทวนเป้าหมายรายได้ใหม่อีกครั้งในช่วงสิ้นไตรมาส 2/59
"เรามีแผนพิจารณาปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้น ในช่วงสิ้นไตรมาสสองนี้ หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา เรามีการเติบโตในทุกช่องทาง ทั้งลูกค้าองค์กร ดีลเลอร์ โมเดิร์นเทรด และการส่งออกที่เติบโตมากที่สุด รวมถึงเรามีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายการขายค่อนข้างดี ทั้งการตลาด และอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเป็นช่วงโลซีซั่นของธุรกิจ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายลดลง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารีเทล ซึ่งบริษัทฯจะโฟกัสการทำตลาดในกลุ่มลุกค้าองค์กร และตลาดส่งออกในประเทศแถบร้อนมากขึ้น"นายนพชัย กล่าว
นายนพชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดต่างประเทศคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น หรือมากกว่า 20% จากเดิมบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้มาจากในประเทศ 80% และต่างประเทศ 20% ซึ่งเป็นไปตามยอดคำสั่งซื้อที่เข้ามามากขึ้น หลังมีการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้า ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 40 ประเทศแล้ว โดยปีนี้จะเน้นการทำตลาดในประเทศที่มีสภาพอากาศร้อน เช่น อินโดนีเซีย ,ออสเตรเลีย ,นิวซีแลนด์ และทวีปแอฟริกา ส่วนในประเทศก็ยังคงเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร ,โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทฯยังคงขยายตลาดในช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดได้นำสินค้าไปวางจำหน่ายที่ ห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส โดยเป็นการเจาะกลุ่มตลาดล่าง ซึ่งเพียงเดือนเดียวก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก สะท้อนให้เห็นถึงตลาดเปิดรับพัดลมไอเย็นมากขึ้น ซึ่งปีนี้บริษัทฯวางงบการตลาดไว้ 60 ล้านบาท ใช้ไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท โดยจะเน้นการทำตลาด ณ จุดขาย จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การทำโปรโมชั่นส่วนลดราคา เป็นต้น
สำหรับปัจจัยที่ยังมีความกังวลในปีนี้ เป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซา ซึ่งบริษัทฯก็มีการควบคุมค่าใช้จ่าย ต้นทุน อย่างต่อเนื่อง และสินค้าลอกเลียนแบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าพัดลมไอเย็น ที่ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างดำเนินการทางกฎหมาย รวมถึงสภาวะการแข่งขัน ที่เริ่มมีผู้เล่นเข้ามามากขึ้นในสินค้าพัดลมไอเย็น อย่างไรก็ตามบริษัทฯมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากจะเป็นโอกาสของการโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าลูกค้าจะจดจำแบรนด์มาสเตอร์คูลได้ และบริษัทฯจะชนะคู่แข่งได้อย่างแน่นอน