นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.บิวเดอสมาร์ท (BSM) คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 จะดีขึ้นจากไตรมาส 1/59 ที่มีรายได้อยู่ที่ 133.67 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.38 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าทั้งในและนอกประเทศเริ่มมีออเดอร์เข้ามามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศในอินเดียที่มียอดออเดอร์เข้ามามากราว 10 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าภาพรวมยอดขายสินค้าในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จากการก่อสร้างโครงการอาคารสำนักงานที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งปีหลังหลายโครงการ อีกทั้งคาดว่าผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากครึ่งปีแรกมีวันหยุดจำนวนมาก อีกทั้งรายได้ที่เข้ามาจะมาจากครึ่งปีหลังเป็นส่วนใหญ่กว่า 55%
นอกจากนี้ ขณะบริษัทจะเน้นการจำหน่ายสินค้า 2 ประเภทในต่างประเทศ ได้แก่ สินค้าอัลลอยด์ และสินค้าอลูมิเนียม เนื่องจากลูกค้าต่างประเทศมีความต้องการใช้สินค้าดังกล่าวค่อนข้างมาก อีกทั้งบริษัทจะพยายามขยายฐานลูกค้าไปเมียนมา และกัมพูชาให้มากขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้ปีนี้จะมาจากในประเทศ 75% และต่างประเทศ 25%
สำหรับเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 59 บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโต 20% มาอยู่ที่ 700 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 563.14 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีปัจจัยบวกมาจากการที่บริษัทเน้นการให้บริการกับลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งบริษัทจะควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายภายในบริษัทให้มีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันให้บริษัทมีกำไรสุทธิมากขึ้น โดยบริษัทคาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30% จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 27.18%
ส่วนความคืบหน้าของธุรกิจใหม่โครงการชุมชนหลังเกษียณภายใต้ชื่อ Sansara หัวหิน มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาทนั้น หลังจากบริษัทได้ซื้อที่ดินจากแบล็คเมาเทนท์ จำนวน 15 ไร่ มูลค่าราว 82 ล้านบาท ซึ่งจะมีการพัฒนาเป็นที่พักอาศัยประเภทวิลล่า จำนวน 13 หลัง ค่าเช่ายูนิตละ 13-20 ล้านบาท และที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมสูง 3 ชั้น จำนวน 3 อาคาร และมีจำนวนยูนิต 10 ยูนิต/อาคาร ยูนิตละ 8-15 ล้านบาท โดยผู้พักอาศัยในโครงการนี้จะเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิการเช่าจากบริษัทตลอดชีพ และได้รับสิทธิใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการของแบล็คเมาเทนท์อีกด้วย
กลุ่มเป้าหมายของโครงการ Sasara เป็นผู้ที่มีอายุวัย 50 ปีขึ้นไป และเน้นขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวสวีเดน ยุโรปเหนือ อังกฤษ และออสเตรเลีย ที่ยังมีความต้องการและสนใจซื้อที่พักอาศัยในต่างประเทศเพื่อตอบโจทย์ในวัยเกษียณ โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างวิลล่าได้ในเดือนมิถุนายน 58 ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมจะต้องรอการได้รับอนุมัติการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อน ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างได้กลางปี 59 และจะรับรู้รายได้เข้ามาประมาณต้นปี 60 ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทในปี 60 ให้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ราว 800-900 ล้านบาท
"เรามีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำรายได้ในปีนี้ได้ที่ 700 ล้านบาท จากการขยายตัวของธุรกิจเดิมของบริษัทซึ่งก็มีแนวโน้มที่ดีจากการที่ภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวมีภาวะที่ดีขึ้น ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนวัยเกษียณที่เราพัฒนาเองก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร และเราเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดี จากการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเราจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการนี้ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป"นายสัญชัย กล่าว