MALEE คาดรายได้-กำไรปีนี้ดีสุดในรอบ 4 ปี เล็งปรับเพิ่มเป้าหลังปิดงบ Q2/59 จากเดิมคาดโต 15%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 18, 2016 12:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปัญญา ชุติสิริวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสสายงานนักลงทุนสัมพันธ์ และเลขานุการ บมจ.มาลีกรุ๊ป (MALEE) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะดีที่สุดในรอบ 4 ปี โดยกลางปีนี้เตรียมปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งเป้าเติบโตราว 15% หลังจากไตรมาส 1/59 รายได้เติบโตแล้วกว่า 20%

อนึ่ง ในปี 58 บริษัทมีรายได้ 5,512.41 ล้านบาท และกำไร 330.76 ล้านบาท

นายปัญญา กล่าวว่า แม้ว่ายอดขายในประเทศยังทรงตัวจากการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มที่รุนแรงและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่รายได้จากต่างประเทศยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่จ้างผลิตในสหรัฐ และยอดขายของแบรนด์ MALEE เอง รวมทั้ง บริษัทได้เริ่มส่งสินค้าเข้าตลาดฟิลิปปินส์ให้กับบริษัทร่วมทุน Monde Malee Beverage(MMBC) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 1/59

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จากการส่งออก ณ สิ้นปี 59 น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% หลังจากไตรมาส 1/59 สูงขึ้นมาที่ 34% จากปีก่อนอยู่ที่ 27-28% ขณะที่บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 50% ภายในระยะเวลา 3-5 ปี

ด้านแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิปีนี้ว่าเฉลี่ยทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าในช่วงไตรมาส 1/59 ที่อยู่ในระดับ 7.05% สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 6% เนื่องจากการส่งออกให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ดีกว่าตลาดในประเทศ ขณะเดียวกันยอดขายที่สูงขึ้นไม่ได้ทำให้ต้นทุนการขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

นายปัญญา ยังเปิดเผยถึงแผนระยะยาวในช่วงปี 60-64 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี เนื่องจากมีการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเทรนด์รักสุขภาพและการขยายตลาดส่งออกทำให้ผลประกอบการของบริษัทขยายตัวขึ้น

บริษัทยังมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ หรือการร่วมลงทุน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา 1-2 ราย หากมีความเหมาะสมบริษัทก็มีความพร้อมด้านเงินลงทุนในระดับ 500-1,000 ล้านบาท และสามารถกู้จากสถาบันทางการเงินเพิ่มเติมได้ ปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทอยู่ที่ 1.2-1.3 เท่า และยังสามารถเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 2 เท่า

ในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 100-200 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต แต่ยังไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ราว 60% เท่านั้น ซึ่งกำลังการผลิตยังรองรับการเติบโตได้อีกราว 1-2 ปี แต่หากอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงถึงระดับ 80% บริษัทก็จะพิจารณาลงทุนขยายโรงงานทันที เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาเตรียมการถึง 2 ปี

ขณะที่นายไพฑูรย์ เอี่ยมศิริกุลมิตร รองกรรมการผู้จัดการสายบริหารงานกลาง กล่าวถึงปัญหาภัยแล้งว่า ไม่กระทบต่อธุรกิจของบริษัท เนื่องจากบริษัทนำเข้าวัตถุดิบเป็นสัดส่วนถึง 60% และส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นการซื้อจากในประเทศ ประกอบกับบริษัทสั่งซื้อสินค้าไว้ล่วงหน้าระยะเวลา 3-6 เดือนแล้ว

ในส่วนของแนวคิดที่ภาครัฐจะจัดเก็ยภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงนั้น บริษัทยังคงต้องติดตามความชัดเจนของภาครัฐว่าจะมีนโยบายอย่างไรต่อเครื่องดื่มที่ใช้ความหวานจากธรรมชาติ ไม่ได้มีการปรุงแต่งด้วยการเติมน้ำตาล เพราะเจตนาของภาครัฐต้องการควบคุมเครื่องดื่มที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ แต่หากมีการเก็บภาษีจริงบริษัทก็คงต้องปรับเพิ่มราคาขายขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อการบริโภคให้ลดลงในระยะสั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ