นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะระดมทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาทจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิรุ่นที่ 4 (GL-W4) และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพล็อตใหม่ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสนับสนุนการรุกธุรกิจครั้งใหญ่ในอาเซียน
“เราจำเป็นต้องใช้เงินทุนเพื่อขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง เพราะธุรกิจมีอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วในทุกๆ ตลาดที่ GL ดำเนินธุรกิจอยู่ โดยยังไม่นับรวมถึงตลาดใหม่ๆ ที่เราเตรียมตัวจะรุกเข้าไป ตลอดจนโอกาสในการควบรวมกิจการในภูมิภาคอาเซียน"นายมิทซึจิ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท GL อนุมัติการออก GL-W4 จำนวน 170 ล้านหน่วยให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 9 หุ้นเดิมต่อ 1 วอแรนท์ ราคาแปลงสภาพ 40 บาท ภายในระยะเวลา 2 ปี พร้อมออกหุ้นกู้แปลงสภาพไม่เกิน 130 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้พันธมิตรญี่ปุ่น คือ บริษัท J Trust Asia โดยกำหนดราคาแปลงสภาพ 40 บาท ภายใน 5 ปี
บริษัทคาดว่าการออกวอร์แรนต์ครั้งนี้คาดว่าจะได้เงินทุนก้อนใหม่จำนวนทั้งสิ้น 5,950 ล้านบาท ขณะที่หุ้นกู้แปลงสภาพนั้นออกในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ กำหนดระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 5% จะเป็นแหล่งเงินทุนใหม่ทันที โดยมติของคณะกรรมการทั้ง 2 เรื่องในครั้งนี้จะนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 24 มิ.ย.59 เพื่อขอความเห็นชอบ
นายมิทซึจิ แสดงความมั่นใจว่า ตลาดกัมพูชายังมีปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก โดยยอดสินเชื่อปล่อยกู้ในกัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 44 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 100 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปีนี้ ก่อนจะขยายอย่างก้าวกระโดดอีกเท่าตัวเป็นประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 60
"เฉพาะจากการเติบโตของธุรกิจในกัมพูชาในปัจจุบันนี้ ก็มีความจำเป็นจะต้องใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยกลุ่ม GL จะใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นหลักในการปล่อยสินเชื่อในกัมพูชา ซึ่งได้ขยายจากสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในอดีตมาครอบคลุมถึงเครื่องจักรกลการเกษตร แผงโซลาร์เซลล์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในรอบปีที่ผ่านมาธุรกิจในกัมพูชายังได้ขยายไปครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าประเภทต่างๆ ที่ GL นำไปปล่อยกู้ในรูปแบบสินเชื่อเช่าซื้อให้กับลูกค้า"นายมิทซึจิ กล่าว
ส่วนเงินทุนก้อนใหม่ที่ GL จะได้รับการแปลงวอแรนท์จะนำไปใช้สนับสนุนการขยายธุรกิจใน สปป.ลาว และการพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ตลอดจนการขยายธุรกิจของบริษัทธนบรรณ ซึ่งมีแผนงานชัดเจนในการขยายธุรกิจโดยเพิ่มการให้สินเชื่อกับลูกค้าใหม่สำหรับรถมือสอง ตลอดจนการให้สินเชื่อกับเจ้าของรถมอเตอร์ไซต์ปัจจุบันที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วน สำหรับเงินสกุลบาทอีกส่วนที่ได้จากแปลงวอแรนท์นั้น จะสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการรุกขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนการควบรวมกิจการต่อไป
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร GL กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา GL ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI GLOBAL SMALL CAP INDEXES (GLOBAL STOCK INDEX) ที่จัดทำโดย MSCI หรือ Morgan Stanley Capital International สะท้อนถึงพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากมาร์เก็ตแคปหรือมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้น GL ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
"การได้รับคัดเลือกในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลดีต่อ GL เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากกองทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเพิ่มโอกาสที่มาร์เก็ตแคปจะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต" นายทัตซึยะ กล่าว
นายทัตซึยะ กล่าวต่อว่า GL ได้ปรับโมเดลธุรกิจใหม่สู่ ‘ดิจิตอลไฟแนนซ์’ ภายใต้รูปแบบ FinTech (Financial Technology) ที่มีการนำระบบไอทีเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ อาทิ การเข้าถึงลูกค้าในแต่ละประเทศได้อย่างทั่วถึง การควบคุมต้นทุน ฯลฯ ตลอดจนสร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในธุรกิจไฟแนนซ์เพื่อรุกขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนทั้งไทย กัมพูชา ลาว และอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในอนาคต
นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจเชิงรุกควบคู่กับการควบคุม NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยให้บริษัทมีผลการดำเนินงานและกำไรเติบโตอย่างมาก ในช่วงที่ผ่านมา โดย GL ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจในอาเซียนนับตั้งแต่ปี 55 หรือ 4 ปีที่ผ่านมาและเมื่อปลายปีที่ผ่านมา GL เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าสู่การคำนวณในดัชนี SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และทำให้มาร์เก็ตแคปเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 42,549 ล้านบาท
ทั้งนี้ ความสำเร็จของ GL ยังรวมถึงการทำกำไรสุทธิที่เป็นสถิติใหม่สูงสุดติดต่อกัน 6 ไตรมาส นับจากไตรมาส 3/57 ถึงไตรมาส 1/59 ขณะที่แนวโน้มผลงานปี 59 คาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่องจากการขยายพอร์ตสินเชื่อในไทย กัมพูชา สปป.ลาว และการรุกตลาดอินโดนีเซียที่อยู่ระหว่างรอใบอนุญาตประกอบกิจการ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่ากัมพูชาถึง 10 เท่า จากจำนวนประชากรที่มีถึง 250 ล้านคน
ณ สิ้นปีที่ผ่านมา GL มีพอร์ตสินเชื่อในไทยและต่างประเทศรวม 9,147 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นในไทยกว่า 40% กัมพูชา 25% สิงคโปร์ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ 30% และส่วนที่เหลือมาจาก สปป.ลาว ขณะที่ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อรวมเติบโตขึ้น 30-40% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่กัมพูชาคาดว่าในปีนี้พอร์ตสินเชื่อจะเติบโตเป็น 2 เท่าและสปป.ลาวคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 3-5 เท่า จากความต้องการสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ เครื่องจักรกลการเกษตร KUBOTA และแผงโซลาร์เซลล์ที่ขยายตัวอย่างมาก
“เรามั่นใจว่าจะทำผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตได้ก้าวกระโดด และถึงแม้พอร์ตสินเชื่อของเราจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังมุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างระมัดระวัง โดยที่กัมพูชามีสัดส่วน NPL ณ สิ้นไตรมาสแรกที่ผ่านมาต่ำกว่า 2% ส่วนในไทยมีสัดส่วน NPL 6.5% และตั้งเป้าลดลงเหลือ 5% ภายในปีนี้"นายทัตซึยะ กล่าว