นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ (SITHAI) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าปีก่อน แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1/59 กำไรสุทธิจะลดลง 57.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม หลังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการย้ายการผลิตส่วนหนึ่งไปเวียดนามกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่จะมีคำสั่งซื้อกลับเข้ามาหลังจากชะลอตัวในการรับสินค้าก่อนหน้านี้ ขณะที่กลุ่มธุรกิจซื้อมาขายที่ขาดทุนในไตรมาสที่แล้วก็เริ่มเห็นสัญญาณบวกมากขึ้น ทำให้คาดว่ายอดขายรวมทั้งปีนี้จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเติบโตราว 7-8% จากปีก่อน
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้คาดการณ์ว่าจะทำได้ราว 18% ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 18.92% ในปีที่แล้ว หลังในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ทำได้เพียง 16.7% เท่านั้นเนื่องจากการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงตามแผนย้ายการผลิตบางส่วนไปเวียดนาม ขณะที่ยังจะมีเงินปันผลจากบริษัทร่วมทุนเข้ามาช่วยหนุนผลประกอบการในปีนี้ด้วย
"ที่เรากระทบหนักส่วนหนึ่ง คือธุรกิจซื้อมาขายไปเพราะเกี่ยวกับเรื่องการเกษตรที่ยัง suffer อยู่ทำให้คนยังไม่มีเงินจับจ่ายสินค้ากำลังซื้อตกลงไป แต่ออเดอร์ไตรมาส 2 ก็เริ่มเข้า ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณดี ปีนี้ก็น่าจะมีกำไร ทำให้ bottom line ดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน ยอดขายโดยรวมที่คาดไว้โต 7-8% ต้องดูอีกทีหลังไตรมาส 2 เราจะทบทวนอีกครั้งว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงยังไมรู้ แต่ขณะนี้ยืนอยู่ 7-8% gross margin น่าจะทำได้ประมาณ 18% โดยเฉลี่ย แต่กำไรดีขึ้นเพราะเรามีบริษัทที่เราไปร่วมทุนด้วย เขาอาจจะจ่ายปันผลมากขึ้น"นายสนั่น กล่าว
ปีที่แล้ว SITHAI มีกำไรสุทธิ 445 ล้านบาท และมียอดขาย 9.76 พันล้านบาท ขณะที่ในงวดไตรมาส 1/59 ทำกำไรสุทธิได้เพียง 48 ล้านบาท ลดลง 57.5% จากงวดปีก่อน และมียอดขาย 2.17 พันล้านบาท ลดลง 3.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากยอดขายที่ลดลงของผลิตภัณฑ์เพื่องานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม และสายธุรกิจซื้อมาขายไปและสายงานแม่พิมพ์ ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวกระทบต่อกำลังซื้อ แต่ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน ยังมียอดขายเติบโตทั้งจากฐานผลิตในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในเวียดนาม
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/59 คาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน ในส่วนของธุรกิจขายตรงคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลของการปรับรูปแบบการบริหารการขาย ขณะที่แนวโน้มการส่งออกจะเพิ่มขึ้น จากคำสั่งซื้อของลูกค้าตะวันออกกลางจะทยอยมาในช่วงต้นไตรมาส 2 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม ที่มีความเชื่อว่าต้องเปลี่ยนภาชนะบนโต๊ะอาหารก่อนการถือศีล
กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่องานอุตสาหกรรม ในสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น และเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยว และยอดขายของบริษัทย่อยในประเทศเวียดนามจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจากฐานการผลิตใหม่ที่เมืองฮานอย ซึ่งเป็นโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร ยังคงได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ส่วนสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่องานอุตสาหกรรมอื่นคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อของโครงการขนาดใหญ่ สำหรับสินค้าพาเลท และลังเปล่า นอกจากนี้ยังได้รับคำสั่งซื้อสินค้าพรีเมี่ยมจากกลุ่มร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มมียอดขายในไตรมาส 3 ปีนี้
กลุ่มสายธุรกิจซื้อมาขายไปและสายงานแม่พิมพ์นั้น ในส่วนของสายธุรกิจซื้อมาขายไปบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ ทั้งจัดกิจกรรมทางการตลาดและหาฐานลูกค้าเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่วนสายงานแม่พิมพ์ คาดว่ายอดขายจะลดลงตามความต้องการแม่พิมพ์ใหม่ของลูกค้าหลักในธุรกิจยานยนต์ของกลุ่มบริษัทที่ลดลง
นายสนั่น กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ระดับประมาณ 1.2-1.3 พันล้านบาท โดยจะใช้ลงทุนในประเทศและต่างประเทศอย่างละครึ่ง เพื่อขยายการผลิตและทำการตลาด รวมถึงจะมีการซื้อสินทรัพย์ที่เป็นธุรกิจและที่ดินในประเทศ มีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท โดยได้ลงนามสัญญาซื้อสินทรัพย์ที่เป็นเครื่องจักร และแม่พิมพ์ รวมถึงการโอนลูกค้า ของโรงงานผลิตสินค้าพลาสติกแห่งหนึ่งในไทย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น และจะช่วยหนุนยอดขายซึ่งน่าจะเห็นการเติบโตได้ชัดในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
ขณะเดียวกันช่วงปลายปีนี้มีแผนสร้างโรงงานแห่งที่ 4 ในเวียดนาม ซึ่งจะเป็นโรงงานผลิตสินค้าเมลามีน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีจำนวนมากจนทำให้ในช่วงที่ผ่านมาโรงงานในเวียดนามไม่สามารถรองรับคำสั่งซื้อได้ทั้งหมด จนต้องส่งมาผลิตในไทยทดแทน แต่การลงทุนดังกล่าวจะใช้เงินไม่มากนัก เนื่องจากเป็นการเพิ่มเครื่องจักรอีก 60 เครื่องจากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 40 เครื่อง ขณะที่คำสั่งซื้อที่มีเข้ามาต้องใช้กำลังการผลิตถึง 100 เครื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงงานอยู่ 3 แห่งในเวียดนาม ซึ่งเป็นโรงงานผลิตสินค้าเมลามีน และโรงงานผลิตสินค้าพลาสติก ตั้งอยู่ในโฮจิมินส์ ส่วนโรงงานแห่งที่ 3 เป็นโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่องานอุตสาหกรรมในกรุงฮานอย
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการลงทุนในเวียดนามยังใช้เงินไม่มากนัก ประกอบกับภาระหนี้ของบริษัทในเวียดนามอยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท Srithai (Vietnam) เสนอให้เลื่อนแผนการนำหุ้นบริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะนำหุ้นเข้าไปซื้อขายในไตรมาส 2/60 และจะยื่นแบบเสนอขายหุ้น (ไฟลิ่ง) ในช่วงเดือนก.ย.59 โดยจะมีการพิจารณาอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ แต่ยืนยันว่ายังมีความตั้งใจว่าจะนำหุ้นบริษัทดังกล่าวเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯต่อไป
"เอเซีย พลัสฯวิเคราะห์แล้ว หนี้ของเราน้อยมาก เพราะที่แล้ว ๆ มาบริษัทแม่เอาเงินไปลงทุนโดยไม่ต้องกู้เลย คือเนื่องจากดีอี ต่ำมาก หนี้แทบจะไม่มี ลงทุนไปไม่รู้เอาเงินแค่จำนวนน้อยเข้ามาไม่คุ้ม ถ้าเราต้องการขยายและต้องการใช้เงินเยอะหน่อยก็น่าจะไปเข้าตลาด ระดมทุนจาก public ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นช่วงไหน ก็เลื่อนไปถึงปลายปีแล้วดูอีกที แต่เราไม่เลิกทุกอย่างยังเดินต่อ ไม่เลิกล้มการที่จะเข้าตลาด เพราะบางทีที่เวียดนามถ้าโตเร็วเราบอกโอเคเลย ถ้าอย่างนี้ก็เข้าเลย ถ้าขยายอย่างรวดเร็ว ก็ว่าถึงเวลาแล้วน่าจะระดมทุนเลยดีกว่าแทนจะที่จะไปกู้"นายสนั่น กล่าว
นายสนั่น กล่าวว่า ส่วนการร่วมลงทุนกับพันธมิตรเพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม ในอินโดนีเซียนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แม้จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจเบื้องต้นกับพันธมิตรแล้วก็ตาม เนื่องจากยังขาดบุคลากรในการดูแลโครงการ หลังจากได้ทุ่มกำลังคนไปดูแลโรงงานในฮานอย และในอินเดียเป็นหลักก่อน เนื่องจากโรงงานทั้งสองแห่งเพิ่งเปิดดำเนินการได้ไม่นาน โดยเฉพาะในอินเดียก็ยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่ แม้ภาพรวมของตลาดยังคงแข็งแกร่งก็ตาม
นอกจากนี้บริษัทยังมองโอกาสการลงทุนในเมียนมาด้วย เนื่องจากปัจจุบันได้ส่งสินค้าไปจำหน่ายยังเมียนมาพอสมควร ซึ่งการพิจารณาลงทุนมองทั้งการร่วมทุนกับโรงงานผลิตสินค้าพลาสติกที่มีอยู่แล้ว และการหาที่ดินเพื่อสร้างโรงงานใหม่