บมจ.ปตท. (PTT) คาดกำไรจากการดำเนินงานในปีนี้จะค่อนข้างมีเสถียรภาพ แม้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันอาจจะมีค่าการกลั่น (GRM) ที่อ่อนตัวลง และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้ที่ยังอยู่ระดับต่ำราว 35-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะกระทบผลการดำเนินงานของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) แต่การที่ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงตามหลังราคาน้ำมันนั้น จะช่วยทำให้มาร์จิ้นของธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติดีขึ้น รวมทั้งธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ในปีนี้ก็เชื่อว่าจะเป็นปีแรกที่ไม่มีผลขาดทุน หลังรัฐบาลปล่อยลอยตัวราคา
ขณะที่เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 27 พ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย ที่ได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินที่ตกต่ำลง ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบขาย หลังราคาถ่านหินยังไม่ดี ประกอบกับกลุ่มปตท.ก็มีเงินสดในมือจำนวนมากราว 3.8 แสนล้านบาท โดยเงินสดที่มีมากทำให้ปีนี้ปตท.อาจจะไม่ออกหุ้นกู้เพิ่มเติม แม้จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดราว 4 หมื่นล้านบาทในปีนี้ก็ตาม
“operating profit มีเสถียรภาพ...กำไรปตท.ค่อนข้าง stable ไม่ผันผวนมาก ปีที่ผ่านมากำไรปตท.ผันผวนมากจากที่เรามี impairment ถ้าบวกกลับมาก็จะมีทำให้มีกำไร 75,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งโดดเด่นมากในกลุ่มโรงกลั่น ปีนี้โรงกลั่นก็จะย่อตัวลงมา และปีนี้ก็จะถูกกระทบจากปตท.สผ. ส่วนธุรกิจโรงแยกก๊าซฯได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซฯที่ค่อยๆลดลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งธุรกิจก๊าซฯในไตรมาสแรกก็เป็นพระเอก ก็จะทำให้กำไรปีนี้อยู่ในวิสัยที่ค่อนข้างใช้ได้"นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ของ PTT กล่าว
นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนในปีนี้ยังคงมีความผันผวน ซึ่งปตท.ก็จะบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนแบบ natural hedge ที่มีรายได้ส่วนใหญ่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และมีหนี้สินที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯอยู่บางส่วน โดยค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯที่เปลี่ยนแปลงทุก 1 บาทก็จะกระทบต่อกำไรของปตท.ราว 1,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ
ขณะที่ในปีนี้ปตท.คงจะไม่มีการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม แม้จะมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้ราว 4 หมื่นล้านบาทก็ตาม เนื่องจากกลุ่มปตท.มีเงินสดคงเหลือจำนวนมากราว 3.8 แสนล้านบาท และยังคงสามารถสร้างกระแสเงินจากการดำเนินงานได้ดีอย่างต่อเนื่องด้วย ขณะเดียวกันก็มีแผนจะใช้เงินสดเพื่อซื้อหุ้นกู้สกุลดอลลาร์คืนราว 10-20% ของวงเงินหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ทั้งหมดในปีนี้ด้วย เพื่อต้องการลดต้นทุนดอกเบี้ยลง โดยปัจจุบันปตท.มีภาระดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยราว 4.4%
อย่างไรก็ตามกระแสเงินสดที่เหลือทำให้กลุ่มปตท.มีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนซื้อสินทรัพย์ โดยเฉพาะในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งปัจจุบัน PTTEP ให้ความสนใจที่จะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มเติมในแหล่งยาดานา ในเมียนมาร์ หลังจากเชฟรอนมีแผนจะขายออกมา และคาดว่าจะได้เห็นการลงทุนใหม่ของ PTTEP ในปีนี้ ขณะเดียวกันแม้ PTTEP จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ตกต่ำ แต่ PTTEP ก็ไม่มีแผนที่จะลดพนักงาน แต่ในส่วนพนักงานที่เป็นคอนแท็กซ์ก็อาจจะไม่ต่อสัญญาเมื่อครบกำหนด
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียนั้น นายวิรัตน์ กล่าวว่า ปตท.เตรียมจะเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาในวันที่ 27 พ.ค.นี้ หลังที่ผ่านมาธุรกิจถ่านหินได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินที่ตกต่ำลง แต่เบื้องต้นเห็นว่ามีแนวโน้มที่ปตท.จะยังคงเก็บธุรกิจถ่านหินไว้ โดยไม่เร่งรีบที่จะขายออก เพราะราคาถ่านหินในปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำ อีกทั้งกลุ่มปตท.ก็มีเงินสดในมือค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันธุรกิจถ่านหินก็ยังคงทำกำไรได้ โดยในไตรมาส 1/59 มีกำไรราว 7 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสามาถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดมีต้นทุนอยู่ที่ราว 30 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดิมที่ 35-40 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ราคาขายถ่านหินยังยืนอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยปีนี้จะเน้นการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายจะผลิตในปีนี้ 8 ล้านตัน
ด้านนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT คาดว่าธุรกิจ NGV ในปีนี้จะเป็นปีแรกที่เข้าสู่จดสมดุลได้ โดยไม่มีผลขาดทุน จากที่ผ่านมานับตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ NGV ในเชิงพาณิชย์เมื่อปี 36 จนถึงปัจจุบันปตท.มีผลขาดทุนจากธุรกิจ NGV ราว 1.3 แสนล้านบาท หลังรัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคา NGV แล้ว ทำให้ในไตรมาส 1/59 มีขาดทุนจากธุรกิจ NGV ลดลงเหลือกว่า 900 ล้านบาทเท่านั้น
สำหรับทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบ ในปีนี้คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 35-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/59 ที่มีราคาเฉลี่ยที่ระดับ 30.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งน่าจะทำให้ปตท.ไม่ต้องตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ในปีนี้ หลังในปีที่แล้วตั้งด้อยค่าสินทรัพย์มากถึง 5.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และธุรกิจถ่านหิน โดยราคาน้ำมันจะยังไม่ปรับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีการผลิตน้ำมันจากอิหร่านออกมา ซึ่งก็จะทำให้แท่นขุดเจาะในสหรัฐ กลับมาขุดเจาะปิโตรเลียมอีกครั้ง หลังจากลดลงก่อนหน้านี้ ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันจะค่อย ๆปรับตัวขึ้นไป และเข้าสู่จุดสมดุลระดับ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใน 2-3 ปีข้างหน้า
ส่วนกรณีความเห็นต่างของการคืนท่อส่งก๊าซฯปตท.นั้น ปตท.ก็พร้อมที่จะเข้าร่วมหารือกับทุกฝ่ายตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเสนอ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นไปตามคำสั่งศาลปกครอง