นางสาวศิริวรรณ สุกัญจนศิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.เค.เอส.เทคโนโลยี (TKS) กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนทบทวนเป้าหมายรายได้ปีนี้ในช่วงกลางปี หรือสิ้นไตรมาส 2/59 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 20% แตะ 1,650 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 1,368.09 ล้านบาท เนื่องจากโครงการทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ประเภทลาเบลบรรจุภัณฑ์ มีความล่าช้าไป 1 ไตรมาส จากเดิมที่คาดจะได้รับงานในช่วงไตรมาส 2/59
ขณะที่มองแนวโน้มไตรมาส 2/59 ก็น่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามา และจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศมีความชัดเจนในทางที่ดีขึ้น
"แนวโน้มไตรมาส 2/59 เราคาดว่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากที่มีการรับรู้รายได้จากต่างประเทศ แต่อาจจะไม่ดีกว่าไตรมาสแรก เนื่องจากไตรมาสแรกมีงานไปรษณีย์เข้ามา ทำให้รายได้เติบโต โดยเราจะมีการพิจารณาทบทวนเป้าหมายทั้งปีใหม่ ในช่วงสิ้นไตรมาสสองนี้ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเพิ่มขึ้น หรือลดลง จากเดิมที่คาดจะเติบโตได้ 20%"นางสาวศิริวรรณ กล่าว
นางสาวศิรวรรณ กล่าวว่า บริษัทฯมีงานในมือปัจจุบัน (Backlog) ราว 900 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้ได้ทั้งหมดในปีนี้ และยังเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มอีกในช่วงไตรมาส 3/59 โดยเป็นงานบัตรออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งคาดหวังได้รับงานทั้งหมด รวมถึงยังมีงานพิมพ์ไปรษณียบัตรทายผลการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016
พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องควบคู่กับการรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ดี ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และได้วางงบลงทุนในปีนี้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และใช้สำหรับการลงทุนอื่นๆ
ปัจจุบันบริษัทฯมีรายได้จากงานเอกชนอยู่ที่ 70% งานภาครัฐอยู่ที่ 30% ซึ่งการที่ภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงระบบจัดซื้อจัดจ้างและทุกงานโครงการต้องเข้าประมูลในส่วนกลาง ทำให้เบื้องต้นมีการแข่งขันกันสูง เพราะจะมีการเข้ามาของผู้ประกอบการในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วย
นางสาวศิริวรรณ กล่าวว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าร่วมลงทุน และซื้อกิจการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 3 บริษัท โดยเป็นในประเทศ 2 บริษัท ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแพจเกจจิ้ง และธุรกิจไอที เพื่อเข้ามาต่อยอดธุรกิจของ TKS คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 4/59 ส่วนความคืบหน้าของการเจรจาร่วมทุนพันธมิตรในประเทศกัมพูชา คาดจะสามารถได้ข้อสรุปได้ในเดือนมิ.ย.59 ซึ่งจะเข้าไปรับงานกับทางภาครัฐ แบบ Turn Key เป็นรายโครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท วางงบลงทุนดังกล่าวไว้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้อีกมาก จากหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.47 เท่า ส่วนในเมียนมาต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะรอความชัดเจนในเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ
สำหรับการเจรจาเพื่อทำคลังสินค้าให้กับ 3 ธนาคารภาครัฐ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาถึงเงื่อนไขต่างๆ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จ บริษัทฯก็พร้อมที่จะลงทุนทันที จากปัจจุบันมีที่ดินแล้วจำนวน 10 ไร่