นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวใกล้ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสนับสนุนการส่งออก รวมถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบเดือนมิ.ย.มีมากขึ้น
ดังนั้นประเมินว่า SET น่าจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นโดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1,435–1,440 จุด โดยหุ้นที่แนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หุ้นแนะนำพิเศษ ได้แก่ CK ซึ่งคาดว่าไตรมาส 2/2559 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของ CK เนื่องจากเริ่มรับรู้งานส่วนเพิ่มของไซยะบุรีตามที่กล่าวไปแล้ว และได้รับเงินปันผลจาก TTW ราว 230 ล้านบาทช่วยหนุนผลประกอบการ รองลงมาคือ หุ้น IVL ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาฝ้ายเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบจากช่วงเดียยวกันของปีก่อน ซึ่งล่าสุด อยู่ที่ระดับ 64.4 ดอลลาร์ต่อตัน และกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันทรงตัวใกล้ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน เม.ย.59 ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ว่าสัญญาณเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะการลงทุนในหมวดก่อสร้าง โดยมีการใช้จ่ายรัฐบาลที่ขยายตัวสูงที่ 16.8% เป็นปัจจัยสนับสนุน รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดี ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้นทำให้รายได้เกษตรกรที่แท้จริงกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้
ประกอบกับราคาน้ำมันที่อยู่ใกล้ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับดีขึ้นจากจุดต่ำสุดที่หลุดต่ำกว่าระดับ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในช่วงต้นปีหนุนการกลับมาลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน และในเดือนมิถุนายนนี้คาดจะมีการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สายสีส้มเส้นทางมีนบุรี-ศูนย์วัฒนธรรม สายสีชมพูเส้นทางแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลืองเส้นทางลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งภาครัฐมีนโยบายเร่งเปิดประมูลโดยจะใช้รูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้รวดเร็วและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้าระหว่าง 14 – 15 มิถุนายนนี้ จากคำแถลงการณ์ของนางเจเนต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่มีความเห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าหากเศรษฐกิจขยายตัวตามคาดและการจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น ทั้งนี้สหรัฐได้รายงานตัวเลขประมาณการ GDP ครั้งที่ 2 อยู่ที่ 0.8% ปรับดีขึ้นจากประมาณการเบื้องต้นที่อยู่ที่ 0.5%รวมทั้งตัวเลขการส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปี 59 ที่หดตัวทำให้หลายสำนักวิจัยกังวลว่าแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ทั้งปีอาจทำได้ไม่ถึง 3%
นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจในประเทศ และต่างประเทศ เช่น วันที่ 31 พฤษภาคม ธนาคารแห่งประเทศไทยมีกำหนดรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือน และในวันที่ 1 มิถุนายน สหรัฐมีกำหนดเปิดเผยสต๊อกน้ำมันประจำสัปดาห์ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อราคาน้ำมัน รวมทั้งสหรัฐ กลุ่มประเทศยูโรโซน และญี่ปุ่น มีกำหนดเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่บ่งชี้ว่าภาวะการผลิตโดยรวมขยายตัว ทรงตัว หรือหดตัว และในวันที่ 2 มิถุนายน ธนาคารกลางสหรัฐรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ (Beige Book) ซึ่งคาดว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐในการประชุมเดือนมิถุนายน
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลง 39 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือคิดเป็น 3.11% ปิดที่ระดับ 1,212ดอลลาร์/ ออนซ์ โดยมีปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายออกมาให้ความเห็นสอดคล้องกันถึงแนวโน้มที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยกล่าวว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าหากเศรษฐกิจมีการขยายตัวตามที่คาดการณ์ไว้ และการจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สหรัฐรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแข็งแกร่งจากตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย.สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2008 และเป็นการรายงานตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับจีดีพีประจำไตรมาสแรกอยู่ที่ 0.8% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ 0.5% บวกกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ค. รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นแรงหลังรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนย้ายการลงทุนจากตลาดทองคำมายังตลาดหุ้นแทนเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ จะยังคงสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ
ดังนั้นประเมินแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิค ยังคงปรับลงต่อเนื่องตามรูปแบบลง V-SHAPE ที่สอดคล้องกับแรงกดดันแนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ขณะที่การเรียงตัวขาลงของแท่งเทียนเป็นสัญญาณแรงขาย ทำให้ราคาแนวโน้มปรับลงต่อ อย่างไรก็ตามการปรับลงมาจบรูปแบบลง V-SHAPE และค่าสัญญาณ RSI เริ่มมีภาวะขายมาก จะช่วยลดแรงถ่วงให้ราคาทองหลังจากนี้จะปรับลงไม่แรงและมีแนวโน้มที่จะสร้างฐานราคาเพื่อฟื้นตัวขึ้นรอบใหม่ โดยมีแนวรับ 1,175-1,170 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,230-1,235 เหรียญต่อทรอยออนซ์