น.ส.นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ๋สายงานการเงินบัญชีและบริหารความเสี่ยง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/59 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรก แม้ว่าในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากเป็นช่วงของวันหยุดยาวก็ตาม แต่ในเดือนมี.ค. และ พ.ค.เป็นช่วงของโลว์ซีซั่น
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบได้ราว 14-15% จากปีก่อนทำได้ 2.66 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีของศูนย์การค้าที่เซ็นทรัลพลาซ่าเวสท์เกต ,เซ็นทรัลพลาซ่าระยอง และเซ็นทรัลเฟสติวัลอีสต์วิว ซึ่งทั้งหมดเปิดให้บริการเมื่อปีก่อน ขณะที่เตรียมปรับขึ้นค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าอีก 2-3% และพื้นที่สำนักงานให้เช่า 3-5% ในปีนี้
"ทั้งปีเรายังมองว่าจะเติบโตได้ 14-15% จากการรับรู้รายได้ของศูนย์การค้าที่เปิดไปเมื่อปีก่อนเข้ามาเต็มปี และจะมีการเปิดเพิ่มอีก 1 แห่ง ขณะที่มองแนวโน้มไตรมาส 2/59 น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรก"น.ส.นภารัตน์ กล่าว
สำหรับเงินลงทุนปีนี้ยังอยู่ในระดับ 1.4-.15 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะใช้ในเรื่องของการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงศูนย์การค้าเดิม รวมถึงซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่ม โดยปีนี้บริษัทมีแผนเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง คือ เซ็นทรัลพลาซ่านครศรีธรรมราช ในช่วงเดือน ก.ค.59 ส่วนปี 60 จะเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่านครราชสีมา และเซ็นทรัลภูเก็ต เฟส 2 อีกทั้งก็อยู่ระหว่างการปรัปรุงพื้นที่ศูนย์การค้าจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซ่าบางนา ,เซ็นทรัลพลาซ่าพระราม 3 , เซ็นทรัล เซ็นเตอร์ พัทยา และเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้
ส่วนการลงทุนศูนย์การค้าในต่างประเทศหลังจากเข้าพัฒนาศูนย์การค้า เซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ ในมาเลเซียแล้ว ก็ยังมีการศึกษาที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติม แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเห็นความชัดเจนได้เมื่อไหร่ เนื่องจากต้องการหาโอกาสการลงทุนและผู้ร่วมลงทุนที่เหมาะสม
น.ส.นภารัตน์ กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ชื่อ Escent จำนวน 3 โครงการ คือ Escent ขอนแก่น ซึ่งปัจจุบันมียอดพรีเซลแล้ว 86% ,Escent เชียงใหม่ มียอดพรีเซลครบ 100% และ Escent ระยอง มียอดพรีเซลแล้ว 80% คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างเสร็จได้ในปี 61 และจะรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิเข้ามาเลย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมราว 5-7% ของรายได้รวม
นอกจากนั้น ภายในปีนี้จะได้ความชัดเจนการแปลงสภาพกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) มาเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนในเรื่องของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดขึ้นหรือยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงิน เนื่องด้วยปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ หรือ D/E เพียง 1 เท่า ยังมีศักยภาพในการกู้ยืมได้อีกมากหากจำเป็นต้องใช้เงิน
ประกอบกับ บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ จำนวน 3 - 5 พันล้านบาท เพื่อไปทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน