บล.ทิสโก้ ให้เป้า SET Index ที่ 1,460 จุด เตือนตลาดเสี่ยงปรับฐานระยะสั้นใน มิ.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 1, 2016 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ให้ความเห็นต่อตลาดหุ้นไทยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวขึ้นมามากนับตั้งแต่ต้นปี มองว่ามี Upside ที่จำกัดแล้ว โดยคาดการณ์เป้าหมาย SET Index ที่ 1460 จุด และจะมีความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานลงในช่วงเดือน มิ.ย.จากปัจจัยต่างๆ จากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นกำลังจะหมดลง และการปรับน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Market เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับปัจจัยด้านราคาน้ำมัน มาจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มมี Upside จำกัดและมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน โดยการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์นับเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ทาง ESU มองว่าความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันต่อจากนี้จะเริ่มมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน เนื่องจากการผลิตน้ำมันที่โดนผลกระทบจากไฟป่าในแคนาดาจะเริ่มกลับมาผลิตได้ตามปกติภายในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน มิ.ย. และผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ อาจกลับมาลงทุนขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้นหากราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลได้อย่างต่อเนื่อง โดย ESU เริ่มเห็นสัญญาณจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ที่เริ่มทรงตัวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม หลังจากที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ การปรับน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Market ในวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อาจเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ตามการปรับน้ำหนักของดัชนี MSCI Emerging Market ซึ่งจะมีผล ณ สิ้นเดือน พ.ค.ซึ่งมีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ADR (American Depositary Receipt) ของบริษัทขนาดใหญ่ของจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น บริษัท Alibaba และ Baidu และจะส่งผลให้น้ำหนักของตลาดหุ้นอื่นๆ ในดัชนี MSCI Emerging Market รวมทั้งตลาดหุ้นไทยลดลง การปรับน้ำหนักการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติตามดัชนีใหม่อาจส่งผลให้ Fund Flows ที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.พ.อาจพลิกกลับเป็นไหลออกในช่วงไตรมาส 2 และกดดันตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่มากกว่าในตลาดพัฒนาแล้ว

ในประเด็นการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 15 มิ.ย.ตลาดเริ่มให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมช่วงกลางปีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ภายในเดือน ก.ค.ได้เพิ่มขึ้นสูงกว่า 50% ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าและเป็นปัจจัยกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดหุ้น รวมถึงค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ต่อไป

ขณะเดียวกัน การลงประชามติการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ในวันที่ 23 มิ.ย.ผลการสำรวจล่าสุดชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้อังกฤษเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ต่อไป แต่ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษยังเป็นความเสี่ยงที่ตลาดจับตามอง

อย่างไรก็ตาม ESU มองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยในเดือน มิ.ย.จะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ในขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไรจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี เราแนะนำให้ใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน และเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นญี่ปุ่นต่อไป ส่วนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เราแนะนำให้เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งยังซื้อขายในระดับ Valuation ที่ถูกและอาจมีปัจจัยบวกจากการเพิ่มน้ำหนักของหุ้นจีน A-shares ในดัชนี MSCI Emerging Markets ซึ่งจะประกาศในวันที่ 15 มิ.ย.นี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ