นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.นิปปอนแพ็ค (ประเทศไทย) (NPP) เปิดเผยถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจอาหารว่า บริษัทตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้จะมีแบรนด์อาหารเพิ่มเป็น 5-6 แบรนด์ จากปัจจุบันมีแบรนด์ A&W และ ร้านปิ้งย่าง"มิยาบิ" ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมไปกับการปรับปรุงและขยายสาขาแบรนด์ที่มีอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสรุปการเจรจาซื้อแบรนด์อาหารเพิ่มอีก 1 รายภายในเดือน มิ.ย.นี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 100 ล้านบาท โดยเป็นกิจการที่มีสาขาอยู่แล้วราว 20 แห่ง สร้างยอดขายได้ปีละ 300 ล้านบาท และมีบุคลากรราว 100 คน
"ธุรกิจอาหารจะค่อย ๆ โต จะใช้ strategy เดิมกับแบรนด์ก่อนๆ คือ M&A เราจะมีให้ครบทุกเมนูตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงมื้อเย็น ต้องเป็น food chain ไม่เอาร้านหรู ร้านของเราจะต้องเทคโนโลยีบริหารได้ ควบคุมต้นทุนได้ดี..เรากำลังมองถึงร้านที่ไม่ใหญ่เกินไป และมีสาขาเยอะ ๆ"นายสุรพงษ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทก็จะปรับปรุงและขยายสาขาของแบรนด์เดิมที่มีอยู่ โดยคาดว่าปลายปีนี้สาขา A&W จะเพิ่มเป็น 30 สาขา จากขณะนี้มีอยู่ 25 สาขา หรือเปิดเพิ่มเดือนละ 1 สาขา เน้นจุดเด่นเดิมคือการเปิดในสถานีบริการน้ำมัน ส่วนร้าน"มิยาบิ"จะมีการเปิดร้านในรูปแบบใหม่ คือ "มิยาบิ เบนโตะ" แยกส่วนออกมาจากปิ้งย่างบุฟเฟ่ต์ มาเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ขายเป็นชุดเมนู (Menu Set) ซึ่งเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว ทำให้การบริโภคร้านสไตล์บุฟเฟ่ต์ได้รับผลกระทบ
นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนนำร้านอาหารในเครือไปเปิดสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ที่ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมค่อนข้างมาก คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้เห็นการออกไปตั้งสาขาของร้านมิยาบิในเมืองย่างกุ้งของเมียนมาร์ ขณะที่มองโอกาสขยายไปเวียดนาม ลาว และกัมพูชาในปีหน้า ซึ่งจะรวมไปถึงอาหารประเภท ready-to-eat ที่อยู่ภายใต้การผลิตของบริษัทในเครือที่จะส่งไปขยายตลาดต่างประเทศ
พร้อมกันนั้น บริษัทยังเริ่มมองการพัฒนาแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาด้วย และยังมองโอกาสที่จะลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์วัตถุดิบอาหาร ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก และสามารถต่อยอดธุรกิจอาหารของบริษัทได้
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมด้านเงินลงทุนเพียงพอต่อการขยายธุรกิจ โดยขณะนี้มีเงินสดในมือราว 400 ล้านบาท และมีเงินทุนหมุนเวียนอีกราว 100 ล้านบาท รวมทั้งมีเงินที่จะได้จากการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น NPP อีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่บริษัทยังมีความสามารถในการกู้เงินจากสถาบันการเงินได้อีกมาก เนื่องจากขณะนี้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังต่ำแค่ 0.1 เท่า จากเป้าหมายจะขยายไปได้ถึง 1 ต่อ 1 ซึ่งยอมรับว่าแผนขยายธุรกิจอาหารคงต้องใช้เงินกู้ด้วย
ด้านธุรกิจเดิม คือ บรรจุภัณฑ์นั้น ปัจจุบันยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีทั้งแบบซองและขวด PET โดยซองบรรจุภัณฑ์ กำลังผลิตสามารถรองรับความต้องการไปได้อีกนาน เพราะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้อีก 3 เท่าจากปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ยอดรายได้มีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยไตรมาสละ 40% ขณะที่ขวด PET ได้มีการขยายกำลังการผลิตโรงงานแห่งที่ 2 และเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 3/59
ในช่วงไตรมาส 2/59 บริษัทจะเริ่มมีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหม่ 3 ราย ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ 3-4 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาสนี้ ขณะที่บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มทั้งด้านคุณภาพและความสวยงาม มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีนวัตกรรมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม คาดว่าในปีนี้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะถึงจุดคุ้มทุน โดยในปีหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะมองหาวิธีขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบก้าวกระโดด
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าธุรกิจอาหารจะทำสัดส่วนรายได้เป็น 50-60% ในปีนี้ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มทำรายได้เข้ามา หรือคาดว่าจะมีรายได้ราว 500-600 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะสร้างรายได้ราว 500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้รายได้รวมปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ราว 1,000 ล้านบาท ขณะที่เชื่อว่าผลประกอบการปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไร และสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ รวมทั้งตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตต่อเนื่องไปที่ 2 พันล้านบาทในปี 61
อนึ่ง NPP แจ้งผลประกอบการปี 58 ขาดทุน 139.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 75.32 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/59 ขาดทุนสุทธิ 31.56 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/58 ที่ขาดทุนสุทธิ 61.45 ล้านบาท "ราคาหุ้นเราถูกที่สุดแล้ว ที่เราไม่อยากขับเคลื่อนหุ้นตอนนี้ เพราะเราต้องการให้ performance มันนำก่อน วันนี้ด้วย Equity เท่านี้ ราคาหุ้นเท่านี้ จำนวนหุ้นที่อยู่ในตลาดเท่านี้ ผมว่าไม่มีบริษัทที่ไซส์ขนาดนี้ เมื่อ perform แล้วมันจะไปไกลไปมาก"นายสุรพงษ์ กล่าว
และเมื่อถามถึงความจริงจังในการทำธุรกิจนี้ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า "เรื่องนี้ไม่มีใครสัญญาได้ แต่วันนี้เราเห็นโอกาสของมัน"