นายมงคล ม่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นยังดูเป็นบวกโดยเงินทุนไหลเข้า (Fund Flow) ที่กลับเข้ามาในตลาดหลังผ่านการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมกลุ่มโอเปคไปแล้ว ซึ่งผลการประชุมออกไปในทางบวกต่อตลาดหุ้น ดังนั้น ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่การประชุมดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดในช่วง 2 สัปดาห์นี้ ดังนั้นจึงมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบกำลังเล่นในกรอบใหญ่ที่ระดับ 1,410-1,468 จุด
ทั้งนี้ แม้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.มีน้อยมาก แต่ตลาดอาจต้องรอฟังสุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะมีในวันจันทร์ในงานของ World Affairs Council of Philadelphia บวกกับตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯที่ออกมาไม่ดีนัก ขณะเดียวกันเนื่องจากสัปดาห์นี้ตัวเลขหรือกิจกรรมสำคัญๆ มีน้อย ความผันผวนจากตัวเลขเศรษฐกิจจึงมีน้อย ไม่เหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องตามดูคงเป็นตัวเลขส่งออกของจีนและตัวเลขเงินเฟ้อของจีน (ถ้าเงินเฟ้อไม่ลดมากก็ไม่น่ากังวล) แต่อย่างไรก็ตามตัวจำกัดกรอบของดัชนีฯ สัปดาห์นี้ จะไปอยู่ที่การประชุม FOMC สัปดาห์หน้า (14-15 มิ.ย.) และคาดว่า MSCI จะสามารถประกาศชื่อหุ้นจีน (A-share) ที่จะถูกนำเข้าไปคำนวณดัชนี MSCI Index ในวันที่ 14 มิ.ย. จึงทำให้เงินลงทุนของรายใหญ่ที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นยังรอดูผลของ 2 เรื่องนี้ก่อน
สำหรับปัจจัยปัจจัยในประเทศ คงเป็นเรื่องเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย สัญญาณจากวันศุกร์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร 7.5 พันล้านบาท น่าจะไปในทางเดียวกับตลาด Emerging Market แห่งอื่น ๆ และการคาดการณ์งบไตรมาส 2 ที่เริ่มมีการทำนำเสนอกันบ้างแล้ว ซึ่งคงไม่ต่างจากที่เราเคยคาด คือ กำไรโดยรวมชะลอตัวจากไตรมาส 1 แต่มีผลประกอบการของหุ้นที่กำไรดีตามราคาน้ำมันเข้ามาช่วยไว้ และเรื่องของ AOT นัดจะเปิดซองประมูลงานจ้างที่ปรึกษาคุมงานสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 วงเงิน 880 ล้านบาทในวันอังคารนี้
"หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนยังคงเป็นกลุ่มที่ได้แรงส่งจากเงินทุนไหลเข้า คือ KBANK ,CPALL กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมัน และค่าการกลั่นน้ำมันที่สูงขึ้น คือ TOP ขณะที่หุ้นที่ผลการดำเนินงานยังมีการเติบโตจากการขยายงาน-ขยายตลาด คือ BCH และ SWCและหุ้น Bottom เป็นหุ้นที่รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์-เศรษฐกิจโลก คือ SAT แต่เราเห็นว่าราคาหุ้นนั้น ก็ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก และหากเศรษฐกิจโลกฟื้นในช่วงครึ่งปีหลัง อุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวตามไปด้วย"นายมงคล กล่าว