นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒนพิบูล เปิดเผยว่า เครือสหพัฒน์คาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมาย 5-6% จากปีก่อน สูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศที่คาดว่าจะเติบโต 3% แล้ว โดยว่ามองว่ากำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลังจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น หลังจากเห็นสัญญาณสินค้าอาหารที่ปรับตัวดีขึ้นมาก ขณะที่มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาลนั้น เท่าที่ติดตามดูคิดว่ามาถูกทางแล้ว ไม่ได้หลงทาง เพียงแต่คนยังรอจังหวะที่จะซื้อ
"ถ้าอาหารดีสินค้าตัวอื่นจะตามมาทีหลัง ซึ่งครึ่งหลังดีหมด คงไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้น...ครึ่งหลังอยากจะเห็นรัฐบาลลงทุนเยอะ เช่น ด้านคมนาคม ยิ่งถ้ามีรถไฟด่วนจะกระตุ้นได้เร็ว ถ้ารัฐบาลลงทุนเยอะพ่อค้าก็จะลงทุนตามมา ธุรกิจปีนี้ไม่น่าห่วง เศรษฐกิจไทยปีนี้เหมือนกับเรากำลังจะขึ้นไฮเวย์ เทียบกับปีที่แล้วที่ลง แต่ปีนี้กำลังตีตั๋วอีซี่พาสอยู่ถ้าผ่านตรงนี้ขึ้นไปได้ก็จะราบรื่น ถ้ารัฐบาลกล้าลงทุน หรือถ้ารัฐบาลวิ่งเร็วเราก็วิ่งเร็ว เพราะเศรษฐกิจเรายังดี"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
สำหรับงบลงรวมของเครือสหพัฒน์ในปีนี้ตั้งไว้ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่คงต้องเน้นการลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยบริษัทมีแผนขยายการลงทุนตอบรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีหลังจะพัฒนาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ อ.แม่สอด จ.ตาก คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากอาจจะเป็นหลักร้อยล้านบาท ขณะที่บริษัทในเครือที่พร้อมไปลงทุนต่างประเทศก็จะได้รับการสนับสนุนเต็มที่ แต่หากบริษัทใดยังไม่มีความสามารถก็อยู่ในประเทศไปก่อน
"ลงแล้วต้องเซฟตี้ จากสมัยก่อนที่เห็นโอกาสก็ลงทุน แต่ตอนนี้ต้องลงแบบระมัดระวัง เพราะเดี๋ยวนี้มีปัจจัยเข้ามากระทบเยอะ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ภัยแล้ง และโลกเปลียนเร็ว พฤตกิกรรมคนก็เปลี่ยนเร็ว ขณะที่คอนซุมเมอร์รู้จักใช้เงินมากขึ้น...เราพยายามจุดพลุให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนด้วยกัน"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการตั้งฐานการผลิตที่แม่สอดนั้นจะเริ่มจากการผลิตวัตถุดิบด้านสิ่งทอ (Textile) โดยจะตั้งโรงงานใหม่และการขยายกำลังการผลิต เพราะสามารถใช้แรงงานจากฝั่งพม่าได้ และเครือสหพัฒน์ก็มีนิคมอุตสาหกรรมอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมองโอกาสขยายการลงทุนในธุรกิจพลาสติกที่ร่วมทุนกับพันธมิตรด้วย
"ที่พยายามลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเพราะจะดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาไทย ซึ่งเร็วๆ นี้ก็จะมีการเซ็นสัญญากับต่างประเทศ มาเลเซียที่จะร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งนี้ สิ่งที่เราอยากจะดึงนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาร่วมทุนกับเพราะต้องการ knowhow และการตลาด เมืองไทยมีศักยภาพแต่ไม่มีโนฮาวการค้า ถ้าได้ knowhow เราก็ไปพัฒนาระดับหนึ่ง"
อนึ่ง เครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่าบริษัทในเครือมีการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับต่างประเทศหลายโครงการ ได้แก่ การเซ็นสัญญาระหว่าง บมจ.ไทยเพรซิเด้นท์ฟู้ดส์ (TF) กับ Japanese Ramen ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินกิจการร้านราเมง, การเซ็นสัญญาระหว่าง บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) กับ MayFlower Group ประเทศมาเลเซีย เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการทัวร์ที่มีความหลากหลายและครบวงจร
พร้อมกันนั้น ยังมีการเซ็นสัญญาระหว่างเครือสหพัฒน์กับ World Co.,Ltd เพื่อก่อตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ World Saha Fasion และการเซ็นสัญญารระหว่าง บริษัท ไทยอรุซ จำกัด และ MK Group เพื่อก่อตั้งบริษัท Aruru Myanmar ขยายธุรกิจด้านการออกแบบและตกแต่งไปยังเมียนมา
"เราต้องการตลาด เรื่องเงินทุนกลับไม่ค่อยสำคัญ เมืองไทยเรื่องเงินไม่มีปัญหา เราเน้นให้เค้ามีตลาดมีเทคโนโยลี ถ้ามี 2 อย่างก็ไปด้วยกันได้ ของเรานอกจากร่วมกับพันธมิตร มาเลย์ ญี่ป่น พม่าแล้ว ในอาเซียนเวียดนามก็มอง แต่ไม่ใช่ง่ายๆ ซึ่งตอนนี้เวียดนามมีมาซื้อสินค้าเรา เช่น ผงซักฟอก ผ่านทางชายแดนบ้างแล้ว ที่มองเวียดนามต่อไปเพราะมีศักยภาพดีกว่าพม่า เพราะอินฟราสตรัคเจอร์พร้อมกว่า ส่วนการเข้าไปลงทุนในเวียดนามคงยังไม่เห็นเร็ว ๆ นี้เพราะยังไม่มีนโยบายเข้าไปลงทุนในตอนนี้ ส่วนจีนก่อนหน้านี้เคยเจรจาร่วมลงทุนด้านออนไลน์กันแต่ไม่สำเร็จ เพราะคิดไม่เหมือนกันก็แยกกันดีกว่า"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ในปีนี้เครือสหพัฒน์ยังจะรุกตลาดดิจิตอลมากขึ้น เพราะดิจิตอลมาเร็วหากเราก้าวช้าก็จะเสียโอกาส ประกอบกับปีนี้สหพัฒน์ครบรอบ 20 ปี จึงถือโอกาสโปรโมทดิจิตอลช่วงนี้ด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ส่วนการคาดหวังที่จะเติบโตจากดิจิตอลนั้นคงยังประเมินยาก