นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตมาแล้วระยะหนึ่ง โดยคาดว่าในปีนี้จะเข้าลงทุนอย่างน้อย 1 แห่ง จากกลุ่มธุรกิจฟินเทค โลจิสติกส์ หรืออีคอมเมิร์ซ ซึ่งบริษัทที่จะเข้าลงทุนนั้นต้องเป็นธุรกิจที่สามารถเปลี่ยนโลกได้และมีการเติบโตรวดเร็ว
ในปีนี้บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่นอกเหนือจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เนื่องจากมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ทำให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก ในขณะเดียวกันการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูงด้วย โดยปัจจุบันบริษัทพึ่งพารายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สูงถึง 60% ขณะที่มีสัดส่วนรายได้จากงานวาณิชธรกิจ (IB) ราว 12% การบริหารกองทุน 15% และอีก 12% คือผลตอบแทนจากการลงทุน
"ปัจจุบันเราเน้นการขยายธุรกิจในกลุ่มที่นอกเหนือจากนายหน้าซื้อขายหุ้น เพราะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงทำให้ผลตอบแทนไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน โดยค่าเฉลี่ยค่าคอมมิชชั่นของอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ในปัจจุบันอยู่ที่ 0.1240% ส่วนของบริษัทอยู่ที่ 0.1659% ลดลงจากปีก่อนค่อนข้างมาก ขณะที่มาร์เก็ตแชร์ของอุตสาหกรรมของบริษัทอยู่ที่ 3% เนื่องจากบริษัทไม่มีนโยบายการแข่งขันทางด้านราคา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้ง ทุก ๆ อย่างก็ต้องโต แต่ส่วนที่ไม่ใช่นายหน้าซื้อขายหุ้นจะมีการเติบโตมากกว่า"นายก้องเกียรติ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีงาน IB ทั้งหมด 53 ดีล โดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 26 ดีล ซึ่งจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปีนี้ไม่มาก แต่ในปี 60 จะมีกว่า 10 ดีลที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ส่วนที่เหลืออีก 27 ดีล เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการเข้าซื้อกิจการ การออกหุ้นกู้ รวมไปถึงการออกตั๋วแลกเงิน
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้มองว่าการปรับตัวขึ้น และการปรับลงของดัชนีจะอยู่ในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด โดยการปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาและเริ่มทรงตัวอยู่ได้ในระดับราคา 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีได้รับผลประโยชน์
ขณะที่กลุ่มสื่อสารเองก็ได้รับปัจจัยบวกจากการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ตซ์ที่เสร็จสิ้นไป และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ยังมีสินเชื่อเติบโตได้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ แม้ว่าลูกค้ารายย่อยจะมีความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่สูงขึ้น แต่ทางธนาคารก็ได้เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้านปัจจัยที่ยังต้องติดตามในระยะต่อจากนี้ คือ การลงประชามติของประเทศอังกฤษที่จะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่ในวันที่ 23 มิ.ย. แต่อย่างไรก็ตามบทวิเคราะห์ของหลาย ๆ สถาบันประเมินว่าอังกฤษคงไม่ออกจากสหภาพยุโรป ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็เป็นไปค่อนข้างยากขึ้น หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการการณ์ไว้มาก ทำให้สถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก
ขณะที่เม็ดเงินจากต่างชาติยังถือว่าไหลกลับมายังภูมิภาคเอเชียค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัจจุบันการเติบโตของเศรษฐกิจจีนเป็นการเติบโตมาจากการควบคุมจากภาครัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งยังต้องติดตามว่าจะมีการเติบโตได้มากน้อยเพียงได เนื่องจากจีนเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ นายก้องเกียรติ มองว่าตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในขณะนี้คือตลาดหุ้นในสหภาพยุโรป ที่ปัจจุบันระดับ P/E ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากนักลงทุนยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนการทำประชามติของประเทศอังกฤษในวันที่ 23 มิ.ย. ก่อน ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องด้วย