นายพิภวัตว์ ภัทรนาวิก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อคงค้างของลูกค้าเอสเอ็มอีจะเติบโต 5-7% แม้ว่า 4 เดือนแรกสินเชื่อคงค้างของธนาคารจะเติบโตเพียง 1% จากสิ้นปีก่อน โดยมียอดสินเชื่อคงค้างใน 4 เดือนแรกอยู่ที่ 6.18 แสนล้านบาท
ในไตรมาส 1/59 ลูกค้าไม่ค่อยเบิกวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารอนุมัติให้มากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อยอดขายและรายได้ของลูกค้าในกลุ่มเอสเอ็มอี และทำให้ความต้องการเบิกไช้สินเชื่อลดลงตามยอดขายและรายได้ที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งกลุ่มลูกค้าธุรกิจภาคเกษตรชะลอการเบิกใช้สินเชื่อจากปัญหาภัยแล้ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญที่ทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างของกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีเติบโตได้เพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดว่าสินเชื่อคงค้างเอสเอ็มอีในไตรมาส 2/59 มีโอกาสเติบโตมากกว่า 1% เนื่องจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจภาคเกษตรเริ่มกลับมาดำเนินกิจการต่อ หลังจากที่ชะลอไปในช่วงก่อนหน้า เพราะขณะนี้เข้าสู่ช่วงหน้าฝน และแนวโน้มปัญหาภัยแล้งเริ่มคลี่คลายลงบ้าง ทำให้การทำการเกษตรเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแนวโน้มลูกค้าในกลุ่มธุรกิจภาคเกษตรจะเริ่มเบิกใช้วงเงินสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาส
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจที่ยังมีการเบิกใช้จ่ายวงเงินสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง คือ กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว
ด้านการปล่อยสินเชื่อใหม่ของกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1-2 หมื่นล้านบาท/เดือน แต่ธนาคารไม่ได้เน้นการปล่อยสินเชื่อใหม่มากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้ธนาคารต้องหันกลับมาเน้นคุณภาพของลูกค้ามากขึ้น ด้วยการช่วยเหลือแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อทำให้ธุรกิจของลูกค้าเดินหน้าต่อไปได้ ประกอบกับ ความต้องการใช้สินเชื่อของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใหม่ ๆ ยังไม่มากนัก
ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.2% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 58 ที่อยู่ในระดับกว่า 3% โดยแนวโน้ม NPL ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอีในช่วงไตรมาส 2/59 และครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังทรงตัวจากปัจจุบัน โดยธนาคารตั้งเป้าควบคุม NPL ของกลุ่มนี้ไม่เกิน 4.35% ในสิ้นปีนี้ ด้วยการออกแคมเปญต่าง ๆ ที่ช่วยลดดอกเบี้ยให้กับลูกค้า ประกอบกับ มีการพักชำระเงินต้นในช่วงที่ลูกค้าขาดสภาพคล่อง รวมไปถึงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้าบางราย
ทั้งนี้ NPL ของลูกค้ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการที่ลูกค้านำเงินสินเชื่อที่ธนาคารให้ไปใช้นอกธุรกิจหลักที่ธนาคารรับทราบ ส่งผลให้ลูกค้ามีปัญหาด้านสภาพคล่องเกิดขึ้น และทำให้เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมา