นางสาวภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวหลังแถลงโครงการ "ส่งเสริมการลงทุนหุ้น-อนุพันธ์ #investnow : ลงทุนวันนี้โอกาสดี สร้างได้" ว่า มองแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในระยสั้นนี้น่าจะยืนเหนือระดับ 1,400 จุดต่อไปได้ เนื่องจากหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.และ ก.ค.นี้ ขณะที่คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะเติบโตราว 30% ซึ่งมาจากกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง
นอกจากนั้น ยังมองพื้นฐานระยะยาวของเศรษฐกิจไทยมีความสดใสมากขึ้น จากการลงทุนภาครัฐที่น่าจะทยอยออกมาในช่วงที่เหลือของปีนี้ และการบริโภคที่เห็นสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น จึงแนะนำให้นักลงทุนหาโอกาสในเข้าลงทุนนหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคอนซูเมอร์
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ในปีนี้ ถือว่ามีการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันทั้งด้านของบุคคลากรและค่าบริการ โดยโบรกเกอร์แต่ละรายพยายามหาจุดเด่นในการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน เช่น เน้นกลุ่มลูกค้าสถาบัน, ออนไลน์ หรือ นักลงทุนรายย่อย เป็นต้น ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นสัญญาณการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในธุรกิจโบรกเกอร์ของไทยมากขึ้นด้วย
ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย ให้เป้าหมาย SET Index ในปีนี้ที่ 1,530 จุด เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวดีขึ้น และพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว รวมถึงการบริโภคที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่คาดกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) จะอยู่ที่ 92.7 บาท/หุ้น โดยให้ติดตามการปรับขี้นตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จากหน่วยงานภาครัฐ แต่ของบล.กสิกรไทยยังคงคาดการณ์ GDP จะเติบโตได้ราว 3%
ทั้งนี้ แนะนักลงทุนให้ลงทุนในหุ้นที่มี P/E ต่ำกว่าตลาด เช่น กลุ่มแบงก์ ที่แม้ขณะนี้ราคาจะสูง แต่ดอกเบี้ย และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ก็ยังอยู่ในระดับทรงตัว อีกทั้งมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว สะท้อนฐานะทางการเงินที่ดี โดยแนะนำ SCB รวมทั้งหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อย่าง SCC ที่ราคาปูนซีเมนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว และภาพรวมการก่อสร้างมีแนวโน้มที่ดีจากการลงทุนภาครัฐและเอกชน
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อย่าง AP, SPALI เนื่องด้วยราคาหุ้นยังถูก และมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้จำนวนมาก บวกกับยังมีโครงการที่จะรอเปิดในปีนี้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนหุ้นที่มี P/E สูงกว่าตลาด แต่มีความน่าสนใจในการลงทุน คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น CK, กลุ่มพาณิชย์ ที่รับผลดีจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น อย่าง HMPRO และสินค้าโภคภัณฑ์ IVL รวมถึงสินค้าการเกษตรและยางพารา อย่าง STA, KSL เป็นต้น