บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ทุ่มงบ 800-1,000 ล้านบาท เดินหน้าปรับปรุงสถานีบริการรูปแบบใหม่ตามมาตรฐานเอสโซ่ทั่วโลกภายใน 3 ปี พร้อมรุกขยายเครือข่ายฐานลูกค้าด้วยการออกบัตร"เอสโซ่ สไมล์ส" และจับมือพันธมิตรร้านค้าสะดวกซื้อ และแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังเข้ามาอยู่ในสถานีบริการน้ำมันจูงใจลูกค้าใช้บริการ หวังผลักดันปริมาณขายปลีกน้ำมันให้เติบโตเท่ากับอุตสาหกรรมในปีนี้ และช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 คืนภายใน 5 ปีข้างหน้า
นายยอดพงศ์ สุตธรรม กรรมการและผู้จัดการการตลาดขายปลีก การตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) กล่าวว่า บริษัทแม่ให้การสนับสนุนในการขยายงานของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันแม้ในช่วงนี้บริษัทน้ำมันทั่วโลกจะประสบปัญหากับภาวะราคาน้ำมันที่ตกต่ำ แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกสามารถสร้างอัตราส่วนกำไรได้ดี โดยเฉพาะในประเทศไทยนั้นปัจจุบันนับว่ามีค่าการตลาดน้ำมันที่ดีขึ้น หลังภาครัฐลดการแทรกแซง และการแข่งขันด้านราคาลดลง
เอสโซ่มีเป้าหมายที่จะกลับมามีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันเป็นอันดับ 2 ภายใน 5 ปี จากสิ้นปี 58 ที่มีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันที่ 14% คิดเป็นอันดับ 3 ของตลาด รองลงจากบมจ.ปตท. (PTT) ที่มีส่วนแบ่งตลาด 47% และบมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) ที่มีส่วนแบ่งตลาด 15% ขณะที่บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด มีส่วนแบ่งการตลาด เป็นอันดับ 4 ที่ระดับ 13%
"ตั้งแต่ปี 1997 บริษัทได้หยุดลงทุน เราเคยมีสถานีบริการกว่า 800 แห่งก็ลดลงเรื่อยๆจนมาถึงต่ำสุดเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ 516 แห่ง... 5 ปีที่ผ่านมาเราผ่านเฟสแรกของการฟื้นตัวแล้ว เฟสที่ 2 ช่วง 5 ปีต่อไปนี้จะเป็นการปรับคุณภาพน้ำมันและการปรับภาพลักษณ์ การเพิ่มนอนออยล์ เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภค หลังจาก 5 ปีข้างหน้าเราน่าจะอยู่ในจุดที่เราสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอีก 2 รายที่สูสีกับเราได้ดี"นายยอดพงศ์ กล่าว
นายยอดพงศ์ กล่าวว่า ตามเผนดำเนินงานนั้นจะมุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้า และขยายเครือข่าย โดยในช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงในปีนี้ด้วยนั้น เป็นการดำเนินงานในเฟสแรก บริษัทมุ่งที่จะปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันจากเดิมที่อยู่ในสภาพเก่าให้ดีขึ้น โดยใช้เงินลงทุนไปกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันดำเนินการได้เกือบทั้งหมดแล้ว จากสถานีบริการที่มีอยู่ 542 แห่ง หลังจากนั้นก็จะมุ่งที่จะเพิ่มฐานลูกค้า ด้วยการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน ซึ่งบริษัทได้เปลี่ยนสารเพิ่มคุณภาพน้ำมันและจะออกผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 3/59
นอกจากนี้ยังได้ออกบัตร"เอสโซ่ สไมล์ส"ซึ่งเป็นบัตรสะสมคะแนนเพื่อแลกรับส่วนลดการเติมน้ำมัน หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ร่วมมือกับพันธมิตรเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้าบัตรแล้ว 2.5 แสนใบและมีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 1 ล้านใบภายใน 1 ปี ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตจากฐานลูกค้าบัตรได้ 3-5% ภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีความร่วมมือกับพันธมิตรเทสโก้ โลตัส และแอร์เอเชีย และมีเป้าหมายจะขยายเครือข่ายพันธมิตรสำหรับบัตรเอสโซ่ สไมล์ส เพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย
สำหรับในส่วนของนอนออยล์ ก็จะมีขยายฐานพันธมิตรในกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในส่วนของร้านสะดวกซื้อ ที่ปัจจุบันมี Tesco Lotus, Family Mart, S-Mart ของเครือสีทีโอเอ โดยมีเป้าหมายจะทยอยยกเลิก"ไทเกอร์ มาร์ท"ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อของเอสโซ่ในท้ายที่สุด ขณะที่ในส่วนของร้านฟาสต์ฟู้ด ก็จะมีพันธมิตร เช่น McDonald’s, KFC, Burger King ขณะที่ร้านกาแฟ มีพันธมิตรอย่าง Rabika Coffee, Caffe D’Oro, Coffee Boy และศูนย์บริการรถยนต์ มีพันธมิตรอย่าง Mobil 1 Center, B-Quik, Bosch เป็นต้น
โดยตั้งเป้าหมายจะขยายสถานีบริการน้ำมันราว 30 แห่ง/ปี และปิดสถานีบริการน้ำมันบางแห่งที่ต่อสัญญาเช่าไม่ได้หรือสถานีที่ไม่เหมาะสมราว 15 แห่ง/ปี ทำให้จะมีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นสุทธิราว 15 แห่ง/ปี ซึ่งจะผลักดันให้มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็นกว่า 600 แห่งใน 5 ปี จากปัจจุบันที่มี 542 แห่ง โดยในส่วนนี้มีเป้าหมายจะมีสถานีบริการน้ำมันที่เป็น Flagship ซึ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ตามเส้นทางไฮเวย์หลัก ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย
ขณะที่การดำเนินงานเฟสที่ 2 จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 60-64 โดยจะปรับปรุงรูปแบบสถานีบริการน้ำมันให้เป็นรูปแบบใหม่ตามมาตรฐานของเอสโซ่ที่ใช้ทั่วโลก ซึ่งตั้งงบลงทุนส่วนนี้ราว 800-1,000 ล้านบาทในช่วงเวลา 3 ปี นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาเอสโซ่ก็ได้ทยอยเปลี่ยนถังน้ำมันใต้ดินในแต่ละสถานีบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัทแม่ปีละ 30 แห่งใช้เงินลงทุนราว 600-800 ล้านบาท/ปี ซึ่งก็จะดำเนินการต่อเนื่องให้ครบทั้งหมด รวมถึงในแต่ละปียังต้องใช้งบลงทุนเพื่อต่อสัญญาเช่าพื้นที่สถานีบริการที่หมดอายุด้วย โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาใช้เงินลงทนุส่วนนี้มากถึงราว 700-800 ล้านบาท
นายยอดพงศ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันดีลเล่อร์ของบริษัทที่มีเครือข่ายทำสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ได้หันมาเจรจากับบริษัทเพื่อเปลี่ยนสถานีบริการ LPG เป็นสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็ก หลังจากตลาด LPG ชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มทดลองปรับเปลี่ยนสถานีบริการดังกล่าวได้ 3 แห่งภายในปีนี้ หากประสบความสำเร็จก็อาจจะมีทยอยเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มสถานีบริการน้ำมันของเอสโซ่ให้มากขึ้นด้วย
สำหรับปริมาณการขายปลีกน้ำมันของเอสโซ่ในปีนี้ ตั้งเป้าหมายจะเติบโตเท่ากับอุตสาหกรรมที่คาดจะขยายตัว 7% จากปีที่แล้ว หลังจากในช่วงไตรมาส 1/59 เติบโตเพียง 4-5% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 10% เนื่องจากเผชิญกับการขยายเครือข่ายของคู่แข่งในสถานีบริการน้ำมันในต่างจังหวัด ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่ใช้น้ำมันดีเซลจำนวนมาก ทำให้ปริมาณขายน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นจุดแข็งของเอสโซ่นั้น เติบโตได้เพียง 1-2% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเกือบ 10% ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา
"เรามองว่าในช่วงครึ่งปีหลังทุกอย่างทรงตัว ก็จะเห็นการเติบโตของตลาดน้ำมันกลับไปสู่ภาวะปกติที่จะโตเพียงปีละ 3-5% แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดน้ำมันโตมากเกินไป ปีที่แล้วเติบโต 9% และตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้เติบโตราว 11-12% ทั้งปีคงจะโตได้ 7% เราก็อยากจะโตให้เท่ากับอุตสาหกรรม...ช่วงที่ผ่านมาเราโตต่ำกว่าตลาดมาอย่างต่อเนื่อง เพราะ network เราลดลงทุกปีเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นเมื่อ 2 ปีหลัง ถ้าตลาดโตแต่ปั๊มเราเท่าเดิมยอดขายของเราก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ มาร์เก็ตแชร์ก็ลดลงไปเรื่อย ๆ การจะอยู่เป็นที่ 2 หรือที่ 3 ทุกคนก็ต้องขยายเครือข่าย"นายยอดพงศ์ กล่าว