นายสริศ พัฒนะเมลือง กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยสตีลเคเบิล (TSC) คาดว่ารายได้งวดปีนี้ (ต.ค.58-ก.ย.59) จะลดลงมาอยู่ที่ 2,600-2,700 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 2,865.52 ล้านบาท เป็นผลมาจากอุตสหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัว โดยคาดปีนี้ไทยจะมียอดการผลิตรถยนต์อยู่ที่ระดับ 1.8-1.9 ล้านคัน จากระดับ 1.9 ล้านคันในปีก่อน ขณะที่บริษัทยังคงเน้นควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้กระทบกับความสามารถการทำกำไร ทำให้คาดว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้เฉลี่ย 5% จาก 5.4% ในปีก่อน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 สิ้นสุดเดือน มิ.ย.59 น่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2 จากการลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรทุกส่วน ทั้งการปรับลดจำนวนแรงงานคน มาเป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อมาร์จิ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังรุกตลาดส่งออก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 5-6% ของรายได้รวม จากปัจจุบันบริษัทส่งออกสายเคเบิลควบคุมยานยนต์ ไปยังประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย บราซิล ฮังการี แม็กซิโก และฟิลิปปินส์ เป็นต้น โดยเชื่อว่าประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ยังมีการเติบโตค่อนข้างมาก จากยอดผลิตรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีต่อบริษัทในอนาคต
"เราจะพยายามเพิ่มการขายสำหรับลูกค้าเดิม และหาลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น โดยเน้นที่กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย และที่กำลังมีแผนจะย้ายมา รวมถึงการหาลูกค้าใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ขณะเดียวกันก็จะลดค่าใช้จ่าย ควบคุมค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด"นายสริศ กล่าว
นายสริศ กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนจำนวน 200 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องจักร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ขณะที่ปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 80% สามารถรองรับการผลิตรถยนต์ได้ถึง 3 ล้านคัน จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปีนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมจะยังทรงตัวตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะเติบโต เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ยังคงยืนยันจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งเห็นได้จากผู้ผลิตรายเดิมลงทุนขยายกำลังการผลิต และผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์เพิ่มเติม รวมถึงมีโครงการรถรุ่นใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น
นายสริศ กล่าวด้วยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการหาแนวทางในการเพิ่มจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) หลังปัจจุบันจำนวน Free Float อยู่ในระดับต่ำทำให้หุ้นไม่มีสภาพคล่อง แต่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่จำหน่ายหุ้นออกมา